October 24, 2018

MARKJIN | If you need it




MARK x JINYOUNG
















มาร์ครู้ว่าจินยองต้องการอะไรตอนที่อีกฝ่ายปีนขึ้นมานั่งคร่อมบนตักของตัวเอง














ผิวเนื้อเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มเสียดสีอยู่กับร่างกายที่ยังปกคลุมไปด้วยเสื้อผ้าชิ้นหนา จินยองไล้มือไปตามกรอบหน้าของเขา เลื้อยลงมาตามแผ่นอก แวะลูบคลำในจุดที่ทำให้ร่างกายปั่นป่วน














“อารมณ์ไหน” มาร์คเอ่ยถามคนที่กำลังเล่นสนุกอยู่บนร่างกายเขา ชายหนุ่มเพิ่งกลับมาจากทำธุระนอกบ้าน ทั้งหอเหลือเพียงเขาและคนเด็กกว่า จินยองเปลี่ยนห้องนั่งเล่นที่แสนจะเงียบเหงาให้เคล้าไปด้วยกลิ่นหอมจากเทียน ไฟทุกดวงถูกปิด มีเพียงแสงวับๆ แวมๆ จากเปลวเทียนส่องให้ความสว่างเท่านั้น














แต่กระนั้นภาพของจินยองที่กำลังขยับร่อนไปตามทำนองเพลงแจ๊สที่ถูกเปิดทิ้งไว้ก็ยังชัดเจนอยู่ดีในสายตาเขา














อีกฝ่ายเหลือบตาขึ้นมาสบ กดยิ้มมุมปากอย่างที่ชอบทำ แล้วประทับจูบอุ่นๆ บนอกข้างซ้ายก่อนตอบ “อารมณ์ดี”














“ดีมากไหม”














“ดีมาก” จินยองว่า น้ำเสียงฟังดูกำลังสนุกอย่างที่เจ้าตัวบอก “แต่จะดีมากกว่านี้ถ้าพี่ถอดเสื้อออกหน่อย”














มาร์คหัวเราะ ยอมโยนฮู้ดตัวโปรดลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มสบตาคนรักอย่างนึกสนุกขึ้นมาบ้าง “ต้องถอดกางเกงด้วยหรือเปล่า”














จินยองยิ้มยั่ว “ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าพี่อยากใช้มันไหม”














คนแก่กว่ารู้ดีว่ามันคืออะไร ในเมื่อมันคือของเล่นชิ้นโปรดของปาร์คจินยอง














เขาถึงได้อยากแกล้ง...














“แล้วจินยองอยากได้มันหรือเปล่าล่ะ”














“อยากได้สิครับ” เด็กหนุ่มว่า ก่อนจะเลื่อนริมฝีปากเข้ามาชิดใบหู เอื้อนเอ่ยประโยคสั้นๆ ที่ทำให้ทั้งห้องลุกเป็นไฟ “อยากโดนพี่รักแรงๆ จะแย่อยู่แล้ว”





















































































































มาร์ครู้ว่าจินยองต้องการอะไรตอนที่อีกฝ่ายแลบลิ้นออกมา














เขาดูดเบาๆ ที่ปลายลิ้นซน ก่อนจะตามไปประกบจูบ แลกเปลี่ยนลมหายใจ ผูกก้านเชอร์รี่ในปาก














จินยองเป็นคนจูบเก่ง ทั้งยังชอบที่จะเป็นคนควบคุมเกมจูบ มาร์คไม่ว่า รู้สึกสนุกดีเสียด้วยซ้ำที่ได้เห็นมุมพยศของคนรัก พวกเขาจูบกันเนิ่นนานเช่นคนที่รู้จังหวะของกันและกันดี มาร์คถอนริมฝีปากออกเมื่อรู้สึกว่าได้เวลาที่เกมต้องดำเนินต่อไป เขาอาจจะจูบแพ้จินยอง แต่มาร์คเป็นนักเล้าโลมชั้นเยี่ยม














ตอหนวดที่เพิ่งขึ้นเหนือริมฝีปากเรียกเสียงร้องให้ดังกว่าที่เคย จินยองบ่นเสมอว่าไม่ชอบ แต่ยามที่มาร์คกดจูบร้อนๆ ไปบนผิวเนื้อบอบบางก็ไม่เห็นอีกฝ่ายจะว่าอะไร แถมยังบิดกายไปมาราวกับสยิวนักหนา มาร์คก็เลยเลือกที่จะดูดแรงๆ บนตุ่มไตที่ลอยยั่วตาเขาอยู่














“เสียว”














ไม่ต้องบอกมาร์คก็รู้ น้ำตาที่คลอเบ้า หน้าท้องที่แขม่วเกร็ง ร่างกายของปาร์คจินยองกำลังสารภาพกับเขาทุกอย่าง มาร์คเลยยิ่งเอาใจด้วยการละเลงลิ้นช้าๆ รอบฐาน ส่วนอีกด้านก็ใช้นิ้วสะกิดถี่ เล่นเอาจินยองดิ้นพล่าน จิกผมเขาจนเจ็บไปหมด














ยิ่งดิ้น ก็ยิ่งเสียดสี


ยิ่งเสียดสี ก็ยิ่งขยาย














“เยิ้มไปหมดแล้ว” คนที่อยู่บนตักว่าเมื่อน้ำใสจากส่วนแข็งขืนไหลมาเปียกจนขาเปรอะ














“แย่จัง” มาร์คยิ้มกริ่ม กระทุ้งกายเบาๆ เพื่อให้ความร้อนผ่าวเสียดสีกับโคนขาขาวอีกครั้ง “เห็นทีต้องทำความสะอาด”














































































































มาร์ครู้ว่าจินยองต้องการอะไรตอนที่อีกฝ่ายลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น














เส้นไหมสีน้ำตาลอ่อนถูไถกับผิวเนื้อด้านในของต้นขา ทิ้งสัมผัสจั๊กจี้เอาไว้ทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับศีรษะ แต่ความหวาบหวิวตรงโคนขาเทียบไม่ได้เลยกับความปั่นป่วนในช่องท้องตอนนี้ ปาร์คจินยองเหมือนคลื่นที่ถาโถม เล่นเอาสติกระจัดกระจาย ทรงตัวแทบจะไม่ไหว














ร้อน














ริมฝีปากหวานหยดนั่นรุ่มร้อนจนมาร์คแทบคลั่ง ความสากจากปลายลิ้นซุกซนทำให้ลมหายใจของเขาติดขัด ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจโอบอุ้มเขาจนส่วนปลายแตะลึกถึงด้านในลำคอ วิญญาณของมาร์คก็ราวกับโดนฉีกทึ้ง














“พอก่อน” เขาบอกเสียงหอบ ยกนิ้วสั่นๆ ของตัวเองไปปาดคราบน้ำลายที่เปรอะเยิ้มกลีบปากอิ่มคู่นั้น “ขอเปลี่ยนท่า”














มาร์คไถลตัวลงจากโซฟาในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วตบขาเรียกจินยองให้กลับมาประจำที่














“ไม่ใช่” เขาเอ่ยบอกเมื่อจินยองขึ้นมานั่งคร่อมอย่างที่เคย “หนูหันสะโพกมาทางพี่”














แม้จะเป็นคนจัดจ้าน แต่อาการกัดปากกลั้นเขินนั่นก็น่าเอ็นดูจนมาร์คอดไม่ได้ที่จะแตะจมูกลงไปแก้มนุ่มหนึ่งที














“เด็กดี” มาร์คชม ไล่ริมฝีปากจากแก้มมายังลำคอ ขบเม้มเบาๆ จนขึ้นเป็นสีระเรื่อ “เดี๋ยวพี่จะให้รางวัล”














ปาร์คจินยองหมุนตัวกลับไปตามคำสั่ง ร่างกายโก้งโค้ง สะโพกมนลอยอยู่ระดับสายตาของชายหนุ่ม ไม่ยากเลยที่มาร์คจะก้มลงไป














…ใช้ลิ้นเลีย














จนจินยองร้องออกมาไม่เป็นภาษา














ยิ่งลงลิ้น สะโพกกลมกลึงก็ยิ่งดิ้น


ยิ่งดิ้น มาร์คก็ยิ่งสอดลึก














นิ้วแรก


นิ้วที่สอง


นิ้วที่สาม














เสียงเจลหล่อลื่นกระทบกับผิวเนื้อฟังดูเฉอะแฉะ แฉะพอๆ กับเสียงน้ำลายและไอศกรีมแท่งโปรดด้านหน้า ร่างกายของปาร์คจินยองกระตุกเกร็งเมื่อมวลคลื่นอารมณ์ซัดสาดจนลมหายใจติดขัด มันมากขึ้น มากขึ้น














แล้วปาร์คจินยองก็แตก


…สลายไปเมื่อมาร์คหยุดทุกอย่าง ปล่อยให้จินยองทรุดตัวนอนหอบอยู่แทบปลายเท้าของตัวเอง














“อย่าเพิ่งรีบ พี่ยังอยากให้เราสนุกไปด้วยกันอีกนาน”










































































































มาร์ครู้ว่าจินยองต้องการอะไรตอนที่อีกฝ่ายแยกขาออกจากกันอย่างเชื้อเชิญ














เจ้าของเตียงนอนสีเทาเข้มกระตุกยิ้มมุมปาก ก้มตัวไปจูบตั้งแต่ต้นขาไล่มาจนจรดปลายเท้า การกระทำที่ทำเอาคนถูกปรนนิบัติหน้าแดงทุกครั้ง














“ขออนุญาตนะครับ” มาร์คว่า ก่อนจะ














สอด...














ไปจน














...สุด














จินยองอ้าปากค้าง มีเพียงเสียงประหลาดในลำคอที่ดังออกมา มาร์คฟังไม่ได้ศัพท์ โฟกัสของเขาตอนนี้คือการขยับสั้นๆ สลับกับการควงเอวไปมาเพื่อให้แรงบีบรัดนี้ลดลง














“ไหวไหม”














“ไหว” อีกฝ่ายพยักหน้า พวกเขาไม่ได้ร่วมรักกันบ่อยเพราะตารางงานที่แน่นมาก อีกทั้งจังหวะดีๆ ที่จะอยู่กันสองต่อสองก็หาได้ยาก จินยองไม่ชอบทำตอนที่มีสมาชิกคนอื่นอยู่ด้วย มากสุดที่ให้ก็แค่ใช้ปากหรือมือ เด็กดีของเขาไม่ชอบโดนใครล้อเวลาเสียงแหบในวันรุ่งขึ้น














ปาร์คจินยองน่ะเป็นประเภทเก็บเสียงครางไม่ค่อยได้














มาร์ครวบมือที่จิกหมอนแน่นไปไว้เหนือศีรษะกลม จุมพิตอีกทีแล้วว่า “เอาแล้วนะ”














เด็กหนุ่มยิ้ม “เอาสิครับ"














ใครสักคนปิดเพลงแจ๊ส แล้วเปลี่ยนเป็นจังหวะที่หนักขึ้น














จินยองหอบหายใจ อ้าปากส่งเสียงร้องจนคอแห้ง เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายขึ้นมาจนร่างกายชื้นแฉะ แรงส่งของมาร์คทำให้สายตาเขาโฟกัสอะไรไม่ได้ ได้แต่หลับตาแล้วปล่อยให้ห้วงอารมณ์นำพาไปเท่านั้น














“หนู ลืมตาหน่อย” มาร์คจูบที่ข้างแก้ม เลยไปกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู “On your hands and knees”














จินยองพลิกตัวคว่ำตามคำสั่ง มาร์คเข้ามาประจำที่ ขยับขาให้แยกออกกว้างอีกหน่อย แล้วจับสะโพกอิ่มเอาไว้มั่น เขาไล้ของร้อนไปทั่ว จงใจเอามันฟาดเบาๆ ที่เนินเนื้อนุ่ม แต่ไม่ยอมสอดมันเข้าไปแม้ตัวเองจะต้องการมากแค่ไหน










นั่นเพราะมาร์คชอบ...














“เลิกเล่นได้แล้ว”














“งั้นหนูอยากให้พี่ทำอะไร”














“ใส่มันเข้ามา อึก” อีกฝ่ายเสียงสั่น ลมหายใจยังหอบหนัก “แล้วกระแทก กระแทกแรงๆ”














…dirty talk ของปาร์คจินยองยามที่อารมณ์อยู่เหนือสติสัมปะชัญญะทั้งปวง














































































































มาร์ครู้ว่าจินยองต้องการอะไรตอนที่อีกฝ่ายปีนขึ้นมานั่งคร่อมบนตักอีกครั้ง














พวกเขาทั้งคู่เหงื่อท่วมตัว แต่เกมรักยังไม่สิ้นสุด














“เอาสิ” มาร์คว่า “ทำเลย”














เช่นนั้นจินยองจึงกดตัวเองลงมาในแนวดิ่ง ใบหน้าหวานเหยเก บอกไม่ได้ว่าเจ็บปวดหรือเสียวซ่าน “พี่อย่าเพิ่งสวนขึ้นมานะ เดี๋ยวจุก”














คนโดนร้องขอพยักหน้ารับ แล้วเฝ้ามองผีเสื้อตัวน้อยร่ายรำอยู่บนตักตัวเอง














จินยองขยับกายอย่างชำนาญ หวีดร้องทุกครั้งที่กดโดนบางจุดภายในร่างกายของตัวเอง คนเด็กกว่าหอบหนัก พยายามโถมกายอยู่สักพักก็หมดแรง เปลี่ยนมาเป็นร่อนเอวช้าๆ แทน














ตอนนั้นเองที่มาร์คตัดสินใจช่วย














“กอดคอพี่” เขาว่าพลางช้อนใต้ขาของอีกฝ่ายไว้ ใบหน้าหวานซบอยู่ที่ไหล่เขา เหงื่อท่วม ไร้เรี่ยวแรงจะพูด กลายเป็นตอนนี้จินยองกอดเขาแน่นเป็นลูกลิง














พ่อทูนหัวลิงอย่างเขาจึงลุกขึ้นยืนแล้ว














…อุ้ม














โยกกายสอดลึก














เข้า


ออก


เข้า


และออก














จนทุกอย่างทะลักทลาย ทิ้งไว้แค่เสียงครางจนแทบขาดใจของคนโดนอุ้ม






































































































มาร์ครู้ว่าจินยองต้องการอะไรตอนที่อีกฝ่ายพลิกตัวเข้ามากอด














ความสัมพันธ์ช่วงนี้ของพวกเขาหวานชื่นจนใครๆ ก็อิจฉา จินยองน่ารัก แถมยังอ้อนเก่งเป็นที่หนึ่ง ยิ่งพื้นฐานมาร์คเป็นคนแพ้ของน่ารักอยู่แล้ว พอมาเจอจินยองในโหมดนี้เลยยิ่งแพ้ไปกันใหญ่














“เหนื่อยไหม”














“เหนื่อยสิ” เด็กหนุ่มตอบแทบจะทันที “มาร์คแข็งแรงมาก เพราะช่วงนี้เข้ายิมแหงๆ”














เขาหัวเราะ เรื่องหลอกล่อให้เขาไปออกกำลังกายล่ะเก่งที่หนึ่ง จริงๆ จินยองก็แค่หงุดหงิดที่เขาติดเกมจนไม่มีเวลาให้ใครก็เท่านั้น














“แล้วไปกินข้าวกับพี่สาวมาเป็นไงบ้าง”














“ก็ดีนะ แต่โดนพี่โบยองบ่นนิดหน่อยเรื่องมาร์คด้วย”














“หืม ทำไมล่ะ”














“พี่เขาบอกว่าผมดื้อ แล้วก็เอาแต่ใจกับมาร์คอยู่เรื่อย”














“พี่เขารู้ได้ไง”














“เขาบอกว่าดูรายการหรือแฟนแคมก็รู้แล้ว แถมมาร์คยังเอาใจเก่งจนออกนอกหน้า”














มาร์คหัวเราะอีก “ก็บอกพี่เขาไปสิว่าพี่เต็มใจจะตามใจ”














“บอกแล้ว” จินยองเบ้หน้า หน้าตาดื้อจนอยากจับฟัดให้จมเขี้ยว “แต่พี่โบยองบอกว่าเป็นแฟนกันก็อย่าเอาแต่ใจอยู่ฝ่ายเดียว ต้องหัดตามใจอีกฝ่ายบ้าง เดี๋ยวจะเบื่อกันไปเสียก่อน”














มาร์คพยักหน้า เข้าใจได้ทันทีว่าเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร เขาแปลกใจตั้งแต่กลับมาบ้านแล้วเจอคนรักสวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำแล้ว ไหนจะบรรยากาศที่โรแมนติกเกินเรื่อง ไหนจะเป็นฝ่ายเริ่มรุกเขาก่อน














ปาร์คจินยองก็มีช่วงเวลาที่หวั่นไหว














“กลับไปบอกพี่โบยองนะว่าพี่มีความสุขดีที่ได้ตามใจจินยองแบบนี้ จินยองไม่ได้เป็นฝ่ายรับอยู่อย่างเดียว เพราะเวลาที่หนูมีความสุข พี่ก็มีความสุขด้วย ถือว่าเจ๊ากัน เข้าใจไหมครับ”














คนเด็กกว่านิ่งไปก่อนจะยืดตัวขึ้นมาจูบแก้มเขาเบาๆ “เนี่ย ก็เป็นเสียอย่างนี้”














“ไม่ดีเหรอ”














“ก็ดี”














“เพราะพี่รัก พี่เลยตามใจ”














“งั้นตามใจอีกอย่างได้ไหม” จินยองว่า แววตาพราวระยับ พร้อมกันกับที่นิ้วซนเคลื่อนต่ำไปยังจุดที่เรียกเสียงครางเบาๆ จากมาร์คได้ “เหนื่อย อาบน้ำเองไม่ไหวแล้ว”














เนี่ย น่ารักขนาดนี้แล้วจะให้เลิกตามใจเด็กดื้อได้อย่างไรไหว


































END














TALK






คุยกันใน #ฟิคอลจ จ้า :)


หรือตามไปเมนท์ได้ที่ >> คลิก

July 17, 2016

#DoubleB #MinBin | A Midsummer's Nightmare





A Midsummer’s Nightmare
 Jiwon x Hanbin x Minho









มินโฮตัดสินใจเช่าตุ๊กตารูปงามจากมาม่าซังมาในราคาหนึ่งแสนวอนต่อการใช้งานหนึ่งคืน  เมื่อจ่ายเงินเสร็จสรรพ  ร่างสูงก็หันไปผงกหัวเรียกให้คนที่นั่งหน้านิ่งรออยู่ตรงโซฟาให้เดินตามมา  จัดแจงเปิดประตูรถให้เรียบร้อยก่อนจะเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับ


“ฉันชื่อมินโฮ นายชื่ออะไรนะ” เขาเอ่ยถามในขณะที่รถยนต์เคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านเช่า  ภายนอกก็ดูเป็นบ้านพักธรรมดาๆ  แต่ในหมู่ผู้นิยมเด็กน้อยน่ารักบ้านหลังนี้เป็นที่รู้จักกันดีหากคุณต้องการจะนอนกับใครสักคน  ไม่แพง  แถมบางทีก็มีของดีหลุดมาให้เห็นบ่อยๆ  อย่างคนข้างๆ นี่ก็เรียกว่าใช่  เด็กหนุ่มที่มีนัยน์ตาวาวเหมือนลูกแมวเท้าแขนกับกระจก  ไม่ได้สนใจคำถามนั้นจนผู้เป็นเจ้าของชั่วคราวต้องถามซ้ำ  “ฉันถามว่านายชื่ออะไร”


“บีไอ”


“นามแฝงเหรอ”


คนที่กล่าวว่าตัวเองชื่อฮันบินผินหน้ากลับมา  ลูกแก้วคู่นั้นว่างเปล่ายามถามย้อนกลับ  “แล้วไง จะชื่ออะไรสำคัญด้วยหรือ”


“สำคัญสิ” มินโฮว่า  เหลือบมองคนที่นั่งข้างๆ เล็กน้อยก่อนหันกลับไปสนใจถนนต่อ “นายไม่อยากให้ฉันเรียกชื่อนายตอนมีอะไรกันหรือไง”


ฮันบินเม้มปาก  ไม่ตอบรับคำหยอกเอิน  มีเพียงแก้มใสที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อให้คนแซวได้รู้ว่าเด็กหนุ่มยังไม่ได้ด้านชามากจนเกินไปนัก  มินโฮใช้บริการที่นี่เป็นหนที่สาม  ต้องบอกว่าสองครั้งแรกเด็กน้อยที่ออฟมาล้วนแต่จริตแพรวพราว  มีทั้งกร้านโลกจริงและแอ๊บโลกสวย   ผิดกับตุ๊กตาตัวนี้ลิบลับ  ฮันบินไม่แสดงอารมณ์อื่นใดเลยนอกเสียจากความเบื่อหน่าย


พอได้เห็นอีกฝ่ายหน้าแดงก็เลยอดเอ็นดูไม่ได้


“ถามอะไรหน่อยได้ไหม”


“จะถามอะไร” คนที่หลวมตัวตอบโต้บทสนทนาด้วยไปตั้งแต่แรกคิดว่าไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว  ทั้งการอยู่เงียบๆ เพียงลำพังในรถก็น่าอึดอัดเกินไป  บางทีการได้คุยกันบ้างก่อนจะได้ยินแต่เสียงอย่างอื่นอาจจะดีก็ได้


“นายทำอาชีพนี้มากี่ปีแล้ว”


ฮันบินขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ค่อยอยากจะตอบแต่ก็ยอมตอบ “สาม”


“ตอนนี้อายุเท่าไหร่”


“เอาเป็นว่าคุณไม่ติดคุกข้อหาพรากผู้เยาว์ก็แล้วกัน”


“แต่ก่อนหน้านี้ใช่ใช่ไหมล่ะ”


ฮันบินเงียบ  เขาเพิ่งอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ไปเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเท่านั้น  การอยู่ลำพังในเมืองหลวงทำให้เด็กหนุ่มเหลือทางเลือกไม่มาก  และเมื่อความตายมาเคาะประตูบ้านเพื่อเพรียกหาบิดาบังเกิดเกล้า  เขาจึงยอมทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้เงินมาต่อชีวิตผู้ให้กำเนิด  ตอนนั้นศักดิ์ศรีไม่อาจจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ 


แต่การนอนกับเสี่ยใหญ่รายหนึ่งทำได้


หลังจากคืนนั้นฮันบินก็ก้าวสู่โลกมืดเต็มตัว  จะเรียกว่าโชคดีไหมก็ไม่แน่ใจนักที่บังเอิญเสี่ยคนนั้นติดอกติดใจรสชาติของตุ๊กตาตัวนี้เสียเหลือเกิน  ฮันบินจึงไม่เคยต้องผ่านมือใครซ้ำสองมาตลอดสามปีที่ผ่านมา  จนกระทั่งวันที่เสี่ยสิ้นใจ  และครอบครัวอาซ้อตามมายึดทุกอย่างที่เสี่ยเคยให้เขาไว้คืนไปหมด  พร้อมทั้งทำทุกอย่างจนเขาไม่อาจทนอยู่ในโซลได้อีกต่อไป  ฮันบินจึงย้ายมาอยู่ที่ปูซาน  โชคร้ายที่อาการป่วยของบิดาทรุดหนักอีกครั้ง  และต้องได้รับการผ่าตัดด่วน  เขาจึงยอมสละศักดิ์ศรีซ้ำสองเพื่อประคองลมหายใจเฮือกสุดท้ายของผู้ให้กำเนิดเอาไว้


และคืนนี้มินโฮจะเป็นคนที่สองที่จะได้ลิ้มรสชาติของตุ๊กตาตัวนี้


“บ้านคุณเหรอ” เขาเอ่ยถามอย่างสนเท่ห์เมื่อรถยนต์จอดสนิทที่หน้าบ้านขนาดกลางหลังหนึ่ง  มินโฮดูไม่น่าจะมีเงินมากพอที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในปูซานได้เสียด้วยซ้ำ


“เข้ามาก่อนสิ”
ฮันบินลังเล  หัวใจดวงน้อยเต้นแรงเมื่อตระหนักได้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาต้องพลีกายให้คนอื่นอีกครั้ง  จริงอยู่ที่เขาเคยนอนกับเสี่ยมานับครั้งไม่ถ้วน  แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมาเสี่ยเอ็นดูเขาเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง  แถมยังตามใจเสียจนเขาเหลิงออกจะบ่อย  จนหลังๆ ฮันบินจึงไม่ได้คิดว่าการนอนกับเสี่ยคือการขายตัวเพื่อแลกเงิน  แต่มันคือการทำรักที่เขาเองก็เต็มใจจะให้อีกฝ่ายกอด


ใช่ สามปีมันนานมากพอที่จะทำให้ลูกจ้างตกหลุมรักความใจดีของเจ้านายตัวเอง


“คุณจะอาบน้ำก่อนหรือเปล่า” ฮันบินเอ่ยถามเมื่อเดินเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว  มินโฮเดินไปรินน้ำมาให้เขา  ใจดีเสียจนเด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าแขกทุกคนจะสุภาพแบบนี้หรือเปล่า


“อืม ได้  แล้วนายล่ะ”


“ผมอาบมาแล้ว อ๊ะ” เขาสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายซุกหน้ามายังซอกคอขวาอย่างรวดเร็ว  ไอร้อนของลมหายใจทำให้เลือดลมในร่างกายวิ่งพล่าน “ทำอะไรของคุณ!”


“อืม ตัวหอมดี ผ่าน”


ฮันบินหน้าแดง  มินโฮมีวิธีการพิสูจน์ว่าใครอาบน้ำไม่อาบน้ำด้วยการดมคอคนอื่นหรือไง  แล้วดมอย่างเดียวก็พอไหม  จะขบผิวเนื้อของเขาทำไมล่ะ!


“นั่งรอที่นี่ก่อน  เดี๋ยวฉันมา”


“เดี๋ยวครับ” ฮันบินร้องรั้ง  กวาดสายตาไปทั่วห้องอย่างประหม่า  “ผมไปนั่งรอในห้องนอนคุณไม่ได้เหรอ  ผมไม่อยากตอบคำถามคนอื่นว่าผมเป็นใคร  มาทำอะไรที่นี่”


มินโฮยกยิ้ม  ลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างนึกเอ็นดู  เด็กอย่างไรเสียก็คือเด็ก  จะผ่านโลกแบบไหนมาแต่ธาตุแท้ที่ฝังอยู่ในใจอย่างไรก็กำจัดออกไปไม่ได้


“อย่าห่วงเรื่องนั้นเลย  นั่งรออยู่ที่นี่แหละ  เตรียมใจไว้ให้ดีก็แล้วกัน”


“แต่ว่า...”


“บ้านหลังนี้ตอนนี้มีแค่นายกับฉัน  อย่ากังวลไปเลยเด็กดี  เอาล่ะ  ปล่อยฉันก่อน”


ฮันบินกัดปากอย่างลังเล  แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยชายเสื้อที่เผลอรั้งเอาไว้จนได้  เขาเฝ้ามองจนกระทั่งแผ่นหลังของเจ้านายชั่วคราวหายลับไปบนบันไดเวียนขึ้นชั้นสองของตัวบ้าน  ความรู้สึกบางอย่างร้องเตือนให้เขาหนีไปจากที่นี่ซะ


“ใจเย็นๆ ไม่มีอะไรหรอกน่า” เด็กหนุ่มพยายามปลอบตัวเอง  เขานั่งลงที่โซฟา  หายใจเข้าออกเพื่อทำสมาธิ  แม้จะเตรียมใจมามาก  แต่เมื่อต้องลงสนามจริงฮันบินก็ยอมรับว่ากลัวจนสั่นไปหมด  ภายใต้ท่าทีเบื่อหน่ายที่พยายามแสดงออกไปนั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น


นี่เขาควรทำอย่างไรดี


มือบางหยิบแก้วน้ำที่มินโฮรินไว้ให้ขึ้นมาดื่มเพื่อระงับความตื่นเต้น  สองมือกุมแน่นอยู่บนตัก  พยายามบอกตัวเองว่าต้องมีเงินไปรักษาพ่อ  ต้องสู้  ชีวิตพ่อเดิมพันกับความกล้าของนายในครั้งนี้  ฮันบินบอกตัวเองซ้ำไปซ้ำมา  ซ้ำมาซ้ำไป  โลกเบื้องหน้าดูบิดเบี้ยวไปทุกขณะ


และภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือผู้ชายคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา  ยืนจ้องหน้าเขาพร้อมกับประโยคที่ฟังดูลางเลือนเมื่อสติเริ่มเลือนลาง


“คิมฮันบิน”


ก่อนที่โลกทั้งใบจะดับวูบไปต่อหน้าต่อตา







///////







สติของฮันบินค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง  เขาพยายามจะลืมตา  แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เห็นแต่ความมืดมิด  พอลองขยับตัวก็พบว่ามือทั้งสองข้างถูกจับมัดไพล่หลังอยู่  เช่นเดียวกันกับข้อเท้าที่ถูกเชือกมัดไว้อย่างแน่นหนา


“ค..คุณมินโฮ เล่นบ้าอะไร!”


“ตื่นมาก็โวยวายเลยนะ” เสียงทุ้มที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นมาจากมุมห้อง  ฮันบินตัวแข็งขึ้นมาทันที  ความกลัวแล่นมาจับที่ขั้วหัวใจ


“น..นั่นใคร”


“บอกไปนายจะรู้จักหรือไง” มือสากจับที่ปลายคางของเขาก่อนจะหันให้ไปตามทิศที่ต้องการ  ลมหายใจอุ่นร้อนลอยปะทะอยู่บนใบหน้า  ทำให้ฮันบินรู้ว่าผู้ไม่ประสงค์ดีอยู่ใกล้เขามากเหลือเกิน


“คุณจะทำอะไร  ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ!” เขาออกคำสั่ง  พยายามดิ้นเพื่อให้เชือกที่พันธนาการตัวเองไว้หลุดออกไป  แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งบาดข้อมือข้อเท้าตัวเองจนเลือดซิบ  “มินโฮ คุณอยู่ไหน ช่วยผมด้วย!”


“ฉันอยู่นี่ จะร้องทำไม”


ฮันบินหยุดดิ้น  หันหน้าไปตามทิศเสียงที่ได้ยิน  “คุณอยู่ในนี้ด้วยเหรอ”


“ใช่”


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น  พวกคุณเล่นบ้าอะไร”


“นั่นเป็นคำถามที่ดีนะ” มินโฮเอ่ยชม  หันหน้าไปทางคนที่ยืนกอดอกอยู่ใกล้ๆ แล้วเลิกคิ้วใส่ “แกเล่นบ้าอะไรอยู่วะจีวอน”


คนโดนเรียกแสยะยิ้ม  ยิ่งเห็นฮันบินนิ่งไปก็ยิ่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องจำเขาได้อย่างแน่นอน


“นั่น.. คุณคิมจีวอน?”


ใช่ นั่นเขาล่ะ  คิมจีวอน  บุตรชายคนเดียวของบุรุษที่เลี้ยงดูคิมฮันบินมานานกว่าสามปี


“ดีใจที่รู้จักฉันนะคุณฮันบิน”


“ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะ! คุณไม่มีสิทธิ์ทำกับผมแบบนี้!!”


“อ๋อ  มีแน่  ได้ข่าวว่าเพื่อนฉันเพิ่งซื้อนายมาแสนวอนนี่  น้อยกว่าเศษเงินที่อาป๊าปรนเปรอนายตั้งเยอะ  เพราะงั้นคืนนี้ช่วยคืนกำไรให้พวกฉันหน่อยแล้วกัน”


“ม..ไม่  ไม่”


ฮันบินเพิ่งรู้ตัวว่าเสื้อผ้าถูกถอดออกไปหมดสิ้นตอนที่ขยับตัวหนีนั่นเอง  แผ่นหลังบางเอนชิดไปกับโซฟา  เขาไม่รู้ทิศทางใดๆ เพราะสายตายังถูกปิดไว้ด้วยผ้าสีดำสนิท  เสียงหัวเราะของจีวอนยิ่งทำให้เขากลัวอีกฝ่ายจับใจ


“มานี่!”


เพียงแรงกระชากเดียวที่ข้อเท้าร่างทั้งร่างก็ไถลไปแต่โดยง่าย  ฮันบินพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด  ยอมรับว่าเขากลัวมาก  การตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือศัตรูในภาวะไร้ทางสู้เช่นนี้เป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศัตรูที่เรารู้ดีว่าเขาปรารถนาอะไร


“ไม่แปลกใจเลยทำไมป๊ามึงหลงเด็กนี่ขนาดนี้  น่าฟัดฉิบหาย” เสียงมินโฮดังขึ้นใกล้ๆ พร้อมกับเสียงสูดปากอย่างตื่นเต้น  “เปิดตาหน่อยดีกว่ามึง  ให้น้องเขาได้จดจำทุกรายละเอียดไปกับเรา”


“เอางั้นเหรอ” จีวอนว่า  ก่อนจะแก้ผ้าปิดตาออกให้


ทันทีที่ได้การมองเห็นคืนมา  ใบหน้าเรียบนิ่งของผู้ชายสองคนตรงหน้าก็ทำเอาเด็กหนุ่มที่ถูกมัดอยู่สติแตก  ฮันบินไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าร้องไห้ออกมาตั้งแต่เมื่อไร  เขาพยายามขยับตัวหนี  แต่แพ้แรงคนที่ยึดข้อเท้าของเขาเอาไว้


“อย่าทำอะไรผมเลยนะ  ผมขอร้อง”


“อยากร้องเหรอ  ได้ร้องแน่  ร้องดังๆ เลยก็ดีนะ  เอาให้อาป๊าบนสวรรค์ได้ยินเลยว่าลูกชายมีเมียคนเดียวกับพ่อตัวเอง!” จีวอนตวาด สายตาวาวโรจน์  ฮันบินเคยเจออีกฝ่ายโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน  นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่พวกเขาพบกัน  ทว่าสายตาอาฆาตที่จีวอนส่งมาให้ยังคงติดตรึงในสมอง  ชายหนุ่มฝังหัวไปแล้วว่าฮันบินเป็นคนทำให้ครอบครัวของจีวอนพังทลาย  ทั้งๆ ที่อาเสี่ยไม่ได้เลี้ยงแค่ฮันบินคนเดียวด้วยซ้ำ  และในยามนี้จีวอนก็ไม่ได้น่ากลัวน้อยกว่าตอนนั้นเลย


“คุณจีวอ--- อื้ออออ” ยังไม่ทันที่ฮันบินจะได้พูดอะไร  ริมฝีปากร้อนก็ประกบลงมาเสียก่อน  สองมือล็อกใบหน้าเอาไว้ในเผยอรับสัมผัสแต่โดยดี  ฮันบินพยายามจะกัดลิ้นสู้  แต่ก็โดนจีวอนรู้ทัน  ซ้ำยังร้ายกลับด้วยการกัดที่ริมฝีปากอิ่มของเขาจนได้แผล พร้อมจูบอย่างรุนแรงจนได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในปาก


เจ็บ
เจ็บทั้งใจ เจ็บทั้งกาย


จีวอนกอดรัดร่างนุ่มนิ่มนั่นเอาไว้แน่น  ซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น  ขบเม้มไปตามผิวเนื้อจนเกิดรอยแดงประปราย   มินโฮเดินมาซ้อนหลังแล้วดันฮันบินให้ลุกขึ้นนั่ง  สอดมือเข้ามาลูบไล้หน้าอกเนียนแผ่วเบา  สร้างความวาบหวิวให้เด็กน้อยจนร่างกายกระตุกเกร็ง


“ม..ไม่”


จีวอนปลดเชือกที่ผูกข้อเท้าออก  ฮันบินทำท่าจะถีบแต่ก็โดนอีกคนล็อกเอาไว้เสียก่อน  ตอนนี้จีวอนนั่งแทรกอยู่ตรงหว่างขาเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่ม  มือหนึ่งยึดท่อนขาเอาไว้แน่น  ส่วนอีกมือก็เอื้อมไปปลุกปั่นอารมณ์ของอีกฝ่าย 


ฮันบินสะบัดหน้าไปมา  ความรู้สึกเสียววูบเล่นงานเสียจนสมองพร่าเบลอ  รังเกียจสัมผัสที่กำลังได้รับจากผู้ชายทั้งสองคนนี้  แต่ร่างกายกลับไวสัมผัสไม่อาจต่อต้านได้เลย  เขาเม้มปากแน่น  ไม่ยอมให้เสียงน่าอายเล็ดลอดออกมาเด็ดขาด


มินโฮรั้งใบหน้าหวานให้หันกลับมารับจุมพิตเมื่อเห็นว่าตุ๊กตาจำลองเริ่มกัดปากตัวเองอีกครั้ง  จีวอนน่ะเล่นแค่แปปเดียวก็ทำของชำรุดเสียแล้ว  ร่างสูงค่อยๆ ดูดดึงริมฝีปากของอีกฝ่ายราวจะขอร้องให้เผยอปากออกให้เขาเข้าไปสำรวจ  แต่ฮันบินน่ะพยศกว่าที่คิด  มือหยาบจึงเลื่อนไปสะกิดจุดไวสัมผัสที่หน้าอกเนียนเล่นเอาเด็กน้อยสะดุ้งเฮือก  เผลอส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ  คนเจ้าแผนการฉวยโอกาสส่งเรียวลิ้นเข้าไปด้านในทันที  ยิ่งฮันบินหลบหลีกเขาก็ยิ่งไล่ต้อน  เสียงของสัมผัสเปียกลื่นดังให้ได้ยินเป็นระยะ  พร้อมกับร่างกายนุ่มนิ่มที่เริ่มสิ้นฤทธิ์ทีละนิด


จีวอนมองใบหน้าของคนที่ทำให้ครอบครัวเขาล่มสลาย  ดวงตาคู่สวยเริ่มปรือปรอยไปกับสัมผัสที่ได้รับการปรนเปรอ  เขาเคยเห็นเด็กของป๊าตัวเป็นๆ แค่ครั้งเดียว  ตอนที่เจออีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูดีอะไร  เด็กกว่าเขาตั้งหลายปีด้วยซ้ำ  เขาไม่รู้เลยว่าเด็กนี่มารยาอย่างไรจนป๊าเขาหลงแทบเป็นแทบตาย  จริงอยู่ที่ป๊ามีบ้านเล็กเยอะแยะ  แต่ไม่เคยมีใครที่ป๊าส่งเสียเป็นจริงเป็นจังเหมือนฮันบิน  จีวอนข้องใจแทบตายว่าเด็กอายุสิบเจ็ดในยามนั้นมีอะไรดี  พอได้มาเห็นอีกฝ่ายโดยไร้อาภรณ์ปิดบังเขาจึงเข้าใจ 


ฮันบินมีผิวกายเนียนละเอียดลูบแล้วเพลินมือ  รูปร่างอรชรมีน้ำมีนวล  จะจับตรงไหนก็เต็มมือไปหมด  กลิ่นกายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว  มันไม่ใช่กลิ่นหวานๆ เหมือนน้ำหอมสตรี  แต่มันเป็นกลิ่นของเด็กนี่  กลิ่นของฮันบินเท่านั้นที่มี  ริมฝีปากอิ่มที่ให้รสชาติที่ดี  แก้มนุ่มนิ่ม  จมูกโด่งรั้น  ต้นคอขาวที่น่ากัดให้จมเขี้ยว


และดวงตาคู่นั้น
ดวงตาที่ทำให้อีกฝ่ายยังคงตามมาหลอกหลอนเขานับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน


บ่อยครั้งที่จีวอนเก็บไปคิดว่าจะเป็นอย่างไรหากเขาได้ครอบครองเจ้าของดวงตานี้บ้าง  มันจะทอประกายอย่างไรเมื่อเขาทำรักแรงๆ  หรือจะเจ้าเล่ห์ขนาดไหนหากรู้ถึงจำนวนทรัพย์สินที่เขามี  เขาอยากเห็นดวงตาคู่นี้ร่ำไห้ - ให้มากเท่าที่อาม้าของเขาต้องเสียน้ำตามาตลอดสามปี - เพราะฮันบินน่ะก็แค่เด็กหิวเงินที่หาวิธีรวยทางลัด  แล้วป๊าเขาก็บังเอิญโง่ให้เด็กมันหลอก


จีวอนถึงต้องมาคิดดอกเบี้ยเล็กๆ น้อยๆ ในตอนนี้


ชายหนุ่มเคล้นคลึงสัดส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่ายจนส่วนปลายปริ่มน้ำ  เขามองเพื่อนรักที่จูบอยู่กับศัตรูตามชะตากรรมของตน  มินโฮรับรู้ทุกอย่างมาตั้งแต่ต้นเพียงแค่ไม่เคยเจอฮันบินตัวจริง  ครั้นพอได้ข่าวจากจีวอนว่าเด็กหนุ่มย้ายมาอยู่ที่ปูซานแล้ว  มินโฮก็เป็นคนแอบติดตามดูพฤติกรรมของฮันบินให้ตามคำสั่งเพื่อน  แล้วก็เป็นมินโฮอีกนั่นแหละที่หยิบยื่นสถานที่ค้าบริการนั่นให้ฮันบินไปโดยอ้อมๆ  แล้วปลาก็ติดเบ็ดอย่างที่คิดไว้


หึ คนเคยรักสบายอย่างไรก็ยังคงรักสบายอย่างนั้น


“อ๊ะ อ..อย่า” เด็กหนุ่มร้องห้ามเมื่อจีวอนตวัดลิ้นแลบเลียตุ่มไตสีอ่อนด้านบน  เอวบางบิดไปมาด้วยความเสียวซ่าน  ร่างกายขืนเกร็งขึ้นมาอีก  ฮันบินกลัวจีวอนจับใจ  สายตาของจีวอนไม่มีแววเป็นมิตรอยู่เลย  ต่างจากมินโฮที่เขาเห็นเพียงแววรักสนุกอยู่ในนั้น  เช่นนี้เมื่อรับรู้ว่าร่างกายกำลังโดนจีวอนสัมผัสมันจึงเกิดการต่อต้าน


“เด็กดี อย่าดิ้นสิ” มินโฮกระซิบที่ข้างหู  พร้อมกับขบเม้มที่หูบางของเขาไปด้วย  ฮันบินขนลุกซู่  เกลียดที่ร่างกายเผลอรู้สึกดีไปกับสัมผัสเหล่านั้น


จีวอนยกยิ้มมุมปากที่มีเพียงแววสมเพชส่งมาให้  ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกแล้วนั่งลงสบายๆ ที่โซฟา  ก่อนจะออกคำสั่งให้มินโฮกดฮันบินลงมาที่หว่างขาของตน


“ถ้ากัดนายตายแน่  รู้ใช่ไหมว่าฉันพูดจริง” เขาขู่


อีกฝ่ายใช้นัยน์ตาแข็งกร้าวตอบโต้กลับมาทันที “ตอนนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”


“นายกล้าตายก่อนพ่อนายด้วยเหรอ” จีวอนยิ้มเยาะ  รู้สึกสนุกที่ได้ข่มขู่ลูกแมวตัวน้อยมากเข้าไปใหญ่  คนพยศน่ะมีวิธีปราบไม่กี่อย่างหรอก  เพียงหาจุดอ่อนให้เจอก็พอ  คราวนี้จะบีบก็ตาย  จะคลายก็ใช่ว่าจะรอดอยู่ดี


“กล้าดียังไงมาพูดถึงพ่อผม!”


“เอางี้ไหมล่ะ  ฉันมันใจป้ำไม่แพ้ป๊าหรอกนะ  คืนนี้ทำให้พวกฉันสองคนพอใจ  แล้วนายจะได้กอดเงินก้อนโตกลับบ้าน  โอเคไหม?”


“ไม่! ปล่อยผมเดี๋ยวนี้”


“นายไม่อยากให้พ่อได้ผ่าตัดหรือไง  ทำครอบครัวเขาพังไม่พอยังจะเป็นลูกทรพีอีกเหรอ”


ฮันบินโกรธจนตัวสั่น  ถ้าไม่ติดว่ามือถูกมัดไว้เขาจะบีบคอจีวอนจนตายข้อหาที่พูดจาดูถูกกันขนาดนี้  จีวอนเคยรู้ที่ไหนว่าชีวิตคนที่ไร้ทางเลือกนั่นโหดร้ายเพียงใด  ศักดิ์ศรีโดนเหยียบย่ำจนแม้แต่ลมหายใจตัวเองก็ยังนึกรังเกียจ


“ฮันบิน คิดดีๆ นะ” มินโฮพูดเบาๆ


คนโดนรังแกกัดปาก  จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่านั่นแหละ  ต่อให้เขาทำงานเป็นเดือนก็ใช่จะได้เงินเพียงพอต่อการผ่าตัดครั้งนี้  แต่ทำไม  ทำไมต้องเป็นคิมจีวอน  ดูก็รู้ว่าหมอนี่มาเพียงเพื่อจะตอกย้ำว่าคนอย่างเขามันน่ารังเกียจและซื้อได้ด้วยเงิน  จีวอนไม่เคยรู้ว่าในช่วงหลังเขาแทบไม่ได้รับเงินจากเสี่ยแล้ว  ทุกอย่างมันเป็นไปด้วยความรักและภักดี  เสี่ยมาหาเขาเวลาที่ตัวเองไม่สบายใจ  ฮันบินแทบจะเป็นคนเดียวที่รู้ความลับของตระกูลคิมเกือบทุกอย่าง  จีวอนเคยรู้ที่ไหนว่าพ่อตัวเองเจอปัญหาอะไรบ้างในแต่ละวัน


แต่ในเมื่อจีวอนมองเขาแบบนั้นไปเสียแล้ว  ฮันบินก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ต้องแก้ตัวอีก


“ร้อยล้านวอน” เขามองหน้าอีกฝ่ายอย่างถือดีในขณะยื่นข้อเสนอ  “ผมขอร้อยล้านวอนสำหรับคืนนี้”


“มันไม่มากไปหน่อยหรือไง  คิดว่าตัวเองมีค่าขนาดไหนกันเชียว” จีวอนกดเสียงต่ำ  สีหน้าดูแคลน


เด็กหนุ่มเชิดหน้าขึ้น  “อาป๊าคุณจ่ายผมมากกว่านี้ก็แล้วกัน”


“หึหึ” คนโดนต้อนหัวเราะในลำคอ  ฮันบินจับจุดถูกว่าจีวอนรักการแข่งขันและถือดี  ถ้าไม่ได้จะต้องการวัดรอยเท้าพ่อตัวเองก็คงไม่ดั้นด้นมาหาเขาถึงปูซานหรอก 


สำหรับจีวอนแล้ว  ฮันบินเป็นดั่งสัญลักษณ์ของการลุแก่อำนาจของตน  หลังจากสิ้นคุณคิมแล้ว  บุตรชายคนเดียวอย่างจีวอนก็กลายเป็นความหวังของตระกูลทันที   แต่จีวอนยังเด็กนักสำหรับโลกใบนี้  การเอาชนะบิดาได้ในบางเรื่องจึงเป็นดั่งเชื้อเพลิงที่ทำให้ชายหนุ่มมั่นใจว่าจะทำทัพนาวานี้ไหว


“ว่าไง”


“ตกลง”


ข้อเสนอบรรลุแต่โดยง่าย  ฮันบินนึกกลัวขึ้นมาอีกระรอกเมื่อรู้ว่าคืนนี้เขาต้องเจอกับอะไรบ้าง


“มินโฮ  แก้มัดที่มือหน่อย”


เขาหลับตา  ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปถึงคนบนสวรรค์  คำพูดของเสี่ยที่เคยเปรยไว้ว่าจีวอนเป็นคนน่าสงสารย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง


หากเซ็กซ์คือการบำบัดโรคทางจิตใจ  คนอย่างผมก็ทำได้เพียงเท่านี้นะครับท่าน






///////





ฮันบินจำไม่ได้แล้วว่าเขาปลดปล่อยออกมาเป็นรอบที่เท่าไร  เขาทิ้งตัวลงที่พื้นพรมอย่างอ่อนแรง  ทั้งสองหนุ่มใช้เขาได้คุ้มค่าราคาจริงๆ


“อย่าเพิ่งเหนื่อยสิ ลุกมานี่” แขนเรียวถูกรั้งให้ลุกขึ้น  จีวอนนั่งอยู่บนโซฟาหลังจากพักยกดูเขากับมินโฮร่วมรักกันบนพื้นเมื่อครู่  ฮันบินจำต้องคลานเข่าเข้าไปหา  รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร  “ใช้ปากหน่อย”


เขาตวัดตามองคนออกคำสั่งอย่างชิงชัง  แต่ก็ยอมรูดรั้งสัดส่วนอ่อนไหวที่ผ่านการใช้งานมาแล้วค่อนคืนแต่โดยดี  ฮันบินใช้ลิ้นตวัดเลียส่วนปลายที่มีหยาดหยดของความใคร่ปริ่มออกมา  ก่อนจะไล้ไปสุดความยาว  ริมฝีปากอิ่มรับส่วนหัวเข้าไปแล้วดูดแรงๆ  จีวอนครางต่ำในลำคออย่างพอใจ  ทั้งยังเผลอเอามือจิกเส้นไหมบนศีรษะเขาอย่างลืมตัว


“อื้อ” ร่างเพรียวเผลอร้องอย่างตกใจเมื่อสะโพกอวบอิ่มถูกยกขึ้นจนตอนนี้อยู่ในท่าคุกเข่า 


มินโฮไม่ปล่อยให้จีวอนสนุกเพียงลำพัง  หลังจากปรับอัตราลมหายใจของตัวเองได้ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นมาร่วมวงด้วย  เขาแหวกเนินเนื้อนิ่มที่โดนขยำจนเป็นรอยแดงออก  ส่งเรียวลิ้นเข้าไปทักทายรอบจีบพับแดงชื้นที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วงในคืนนี้  ฮันบินร้องเสียงหลงที่ฟังไม่ได้ศัพท์  ส่วนหนึ่งเพราะความเสียวซ่านที่เล่นงาน  และอีกส่วนเพราะริมฝีปากของตัวเองกำลังปรนนิบัตินายน้อยตระกูลคิมอยู่


มือหนาของมินโฮเอื้อมไปรูดรั้งให้กามารมณ์ทำงานอย่างต่อเนื่อง  พอๆ กับที่จีวอนสวนสะโพกเข้ามาในปากจนลึกสุดคอ  เล่นเอาเด็กน้อยไอโขลกเพราะสำลัก  แววตาฉ่ำหยาดน้ำของฮันบินยิ่งปลุกเร้าสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ในตัวของสองหนุ่มให้พุ่งขึ้นไปอีก


จีวอนจัดแจงสวมถุงยางแล้วยกฮันบินขึ้นมานั่งบนตัก  เอวบางถูกกอดเอาไว้แล้วลูบไล้ไม่หยุด  พอๆ กับริมฝีปากร้อนที่ระดมจูบที่ทั่วแผ่นหลังจนเสียงครางหวิวเล็ดรอดออกมา


“นั่งลงไป” ฮันบินนิ่วหน้ากับคำสั่งที่ได้รับ  จีวอนไม่เคยอ่อนโยนเลย  ผิดกับมินโฮลิบ 


เด็กหนุ่มจับสัดส่วนของจีวอนเอาไว้แล้วค่อยๆ กดสะโพกลงไป ครั้งนี้ไม่เจ็บเท่าครั้งแรก  ขนาดของจีวอนไม่ได้ใหญ่เท่ามินโฮแต่ยาวกว่า  ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ทำเขาจุกได้ทุกที


“ช่วยหน่อยครับ” มินโฮเดินมาใกล้ๆ แล้วลูบผมเขาอย่างเอ็นดู  ฮันบินช้อนตามองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ต่างกับตอนโดนจีวอนกอดลิบลับ  มือเรียวเอื้อมไปปลุกเร้าให้แต่โดยดี


เห็นเพื่อนสนิทยิ้มหวานแบบนั้นแล้วจีวอนก็ยิ่งหมั่นไส้


เขากระแทกแรงๆ เข้าไปในร่างกายนุ่มนิ่มนี่ทันที  ฮันบินหลุดเสียงร้องอย่างตกใจกับการขยับที่ไร้ที่มาที่ไป  มือหยาบจับสะโพกกลมกลึงเอาไว้แน่นแล้วออกแรงบังคับให้เด็กน้อยขยับตัว  ร่างกายของฮันบินเผลอเกร็งเพราะความตกใจ  ช่องทางคับแคบก็ยิ่งบีบรัดคนที่เป็นฐานรองหนักเข้าไปใหญ่  จีวอนสูดปากอย่างพอใจแล้วเร่งจังหวะขึ้นอีก


“อ๊ะ อ๊ะ อื้อออ”


จีวอนเปลี่ยนท่าให้ฮันบินนอนราบลงไป  สอดมือไว้ใต้ขาแล้วแทรกกายเข้าไปอีกครั้ง  ความคับแน่นทำให้คุณชายคิมครางครึมอย่างสุขสม  ก่อนจะเริ่มขยับกายเข้าออกอย่างเชื่องช้าแต่ลึกและรุนแรงจนเด็กน้อยสั่นสะท้าน  มินโฮที่มองอยู่ยกยิ้มอย่างนึกขัน  เดินเข้าไปหาตุ๊กตามีชีวิตแล้วจับน้องน้อยของตัวเองไล้วนไปทั่วดวงหน้าน่ารักนั่น  ทิ้งคราบน้ำเอาไว้ประปรายจนอดไม่ได้ที่จะก้มลงทำความสะอาดให้ด้วยลิ้น


พวกเขาแลกจูบกันอย่างหนักหน่วง  ฮันบินเอื้อมมือมาคล้องคอมินโฮไว้ในขณะที่ร่างกายส่วนล่างยังรับใช้ชายหนุ่มอีกคนอย่างซื่อสัตย์  มินโฮเคล้าคลึงยอดอกสีสวยของฮันบินไปด้วย  หนักบ้างเบาบางสลับกันไป  เล่นเอาคนที่นอนอยู่จัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้  ร่างกายของเขาถูกกระตุ้นพร้อมๆ กันมากเกินไป  จนในที่สุดก็ปลดปล่อยออกมาอีกครั้งแม้ปราศจากการแตะต้องจากมือใคร


จีวอนถอนตัวออกมา  บุ้ยปากให้มินโฮมาแทนที่ซึ่งเพื่อนสนิทก็รับไม้ต่ออย่างรู้งาน  ร่างสูงสวมถุงยางอย่างรวดเร็วแล้วจับฮันบินนอนบนพื้นด้านล่างแล้วตะแคงข้าง  สอดใส่เข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า  กระแทกแรงๆ บ้างให้อีกฝ่ายร้องเสียงหลง  ริมฝีปากอิ่มอ้าเผยอราวจะขาดใจ  จีวอนจัดแจงให้น้องชายเข้าไปอยู่ในปากสีแดงฉ่ำนั่นอีกครั้ง  แต่ฮันบินไม่เหลือแรงมากพอจะทำอะไรได้อีกแล้ว  ได้แต่ปล่อยให้แรงกระแทกจากด้านหลังส่งมาถึงริมฝีปาก


พวกเขาผลัดเปลี่ยนเวียนหมุนกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรุ่งสาง  ฮันบินที่ร่างกายถึงขีดจำกัดแล้วสลบคาอกของจีวอนยามที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งสุดท้าย  ใบหน้าหวานซีดเซียวและเต็มไปด้วยเหงื่อ  ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแดงจากการดูดดึงของทั้งเขาและมินโฮ


“สุดท้ายเงินก็ซื้อได้ทุกอย่างแม้แต่คนที่คนที่ป๊าบอกว่าซื่อสัตย์เสียยิ่งกว่าใคร” จีวอนพึมพำเบาๆ  ดวงตาคมจ้องมองดวงหน้าของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียพ่อ  และตอนนี้ก็ยังเป็นเมียเขา  รวมไปถึงเป็นเมียของเพื่อนเขาด้วย


“กูว่าคราวนี้มึงเล่นแรงไปหน่อย” มินโฮที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วหันมาบอก


“ทำอย่างกับมึงไม่เคยแชร์ผู้หญิงกับกูแบบนี้”


“มึงก็รู้ว่าเด็กนี่ทำแบบนี้ทำไม” ร่างสูงว่า  แต่แล้วก็ยักไหล่  “คนนี้เด็ดก็จริง  แต่คราวหน้าก็คงต้องขอบาย”


“ทำไม”


“สงสาร  จ้องตามากๆ แล้วรู้สึกตัวเองชั่วช้าพิกล” จีวอนนิ่งไป  พยายามไม่เก็บคำพูดเพื่อนมาคิดให้เป็นอารมณ์  “มึงจะกลับเลยหรือเปล่าจีวอน”


“อืม” เขาพยักหน้า  หยิบเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้ส่งๆ ขึ้นมาสวมบ้าง  มินโฮช้อนตัวคนที่สลบไปแล้วขึ้นมานอนดีๆ บนเตียง  แต่งตัวให้เสร็จสรรพ  แล้วมอบจุมพิตหน้าผากมนอย่างเอ็นดู


จีวอนที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล  เขาเป็นคนจ่ายเงินหนึ่งล้านดอลล่าร์เพื่อรังแกตุ๊กตาตัวนี้  เหตุใดเพื่อนสนิทของเขาจึงอ่อนโยนกับอีกฝ่ายแบบนั้น


“แต่กูจะเอาฮันบินกลับไปด้วย”


มินโฮหันมามองอย่างสนเท่ห์  จีวอนไม่ได้ตอบคำถามในดวงตาคู่นั้น  แต่เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วก็ยื่นกุญแจรถให้เพื่อนไปเปิดประตูให้  พร้อมทั้งอุ้มคนที่หลับไปเพราะโดนรังแกอย่างหนักพาดบ่า


“ขอบใจมาก” จีวอนตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ แล้วเข้าไปยังที่นั่งคนขับ  ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วขับออกไปท่ามกลางตะวันที่กำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้า


มินโฮยิ้มบางแล้วส่ายศีรษะไปมา  จีวอนน่ะรู้ตัวที่ไหนกันว่ามันพูดถึงเมียน้อยของพ่อคนนี้มาสามปีกว่าแล้วแม้จะพบกันแค่ครั้งเดียวก็ตาม  ร่างสูงบิดกายไปมาเพื่อไล่อาการเมื่อยขบ  แล้วลากสังขารขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง  ให้ตายเขาก็ไม่บอกมันหรอก  ปล่อยให้คิดเอง  ระหว่างนี้เขาก็จะหากำไรจากร่างนุ่มนิ่มนั่นสักหน่อยจนกว่าเพื่อนจะรู้ตัวไปเรื่อยๆ แล้วกัน


สนุกดี




END





Let's talk

ได้โปรดอย่ามองอลจ.ด้วยสายตาแบบนั้น  ;-;
คอมเมนท์ในนี้ก็ได้ หรือถ้าสะดวกทวีตก็ #ฟิคอลิส ค่ะ

อลจ.

April 13, 2016

Other | A LIFE OF BEING 'WRITER'

A LIFE OF BEING 'WRITER' 
WITHOUT HAVING HIS OWN SIGNATURE 
(and no one cares)
















1.
ปาร์คจินยองเป็นนักเขียน


จะเรียกแบบนั้นก็ได้ในเมื่อรายได้หลักของเขามาจากการเขียนหนังสือขาย ประกอบไปด้วยนิยายปีละเรื่อง คอลัมน์ในนิตยสารหัวนอกอีกสามฉบับต่อเดือน และบทความจิปาถะทั่วไปแล้วแต่ใครจะจ้างให้เขียน แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เขาสนุกที่สุดคือการเขียนนิยาย จินยองหลงรักการสื่อสารกับคนอ่านผ่านตัวอักษร  ตัวแล้วตัวเล่า ตัวแล้วตัวเล่า  เขาบรรจงทำงานอย่างหนักเพื่อตอบแทนความคาดหวังของผู้อ่าน


และตลอดเวลาที่ผ่านมาจินยองคิดว่าเขาทำได้ค่อนข้างดี






2.
จินยองชอบลายเซ็นของฮารุกิ มุราคามิ


ไม่ใช่หมายถึงน้ำหมึกที่จรดลงบนกระดาษในปกรองของ 1Q84 ที่เขาลงทุนไปต่อแถวนานหลายชั่วโมงเพื่อให้ชื่อของตัวเองถูกเขียนโดยนักเขียนที่เขาชื่นชอบนั่นหรอกนะ  แต่หมายถึงสำนวนและวรรณศิลป์ที่มุราคามิใช้ในการพรรณาความล่มสลายของจิตวิญญาณมนุษย์ในหนังสือแต่ละเล่มที่เขียนออกมาต่างหาก  มันมีชีวิตชีวาและบาดลึกจนจินยองต้องหยุดตัวเองทุกสิบบรรทัดเพื่อตั้งสติ


สำหรับปาร์คจินยอง ผลงานของมุราคามิคือความแปลกใหม่  เป็นชารสชาติที่เขาไม่เคยชิม เป็นซิมโฟนีที่ต้องปีนบันไดฟังหน่อยหูจึงจะถึงขั้น เป็นไวน์ชั่นเลิศที่ซ่านซึมอยู่ในอก


และก็เป็นยาพิษที่ทำให้เขาทุรนทุรายมาจนถึงวันนี้
วันที่เขาเสพผลงานของมุราคามิมากเกินไปจนไม่อาจหา ‘ลายเซ็น’ ของตัวเองเจอ






3.
จินยองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ทำคือการจมลงไปในลายเซ็นของคนอื่น


เขาเพียงคิดว่าเขาชอบ - ชอบมากๆ - ชอบจนถ้อยคำเหล่านี้ติดแน่นอยู่ในสมอง  ยามที่สองนิ้วพรมพร่ำลงบนแป้นพิมพ์จินยองไม่ได้คิดหรอกว่าเขากำลังใช้คำของใคร  วลีเหล่านั้นราวจะโผล่ขึ้นมาในห้วงความคิดไปโดยอัตโนมัติ  ทั้งจังหวะ การเรียงร้อยประโยค การใช้เครื่องหมาย สิ่งใดก็ตามที่จินยองไม่ทันคิดว่าได้มาจากการเสพลายเซ็นคนอื่น เขาเขียนมันลงไปโดยไม่ได้รู้สึกอะไร อาจเป็นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน


จินยองยังคงมีความสุขดีกับการเป็นนักเขียนที่เขียนนิยายปีละหนึ่งเรื่อง นิตยสารเดือนละสามคอลัมน์ และงานเขียนจิปาถะที่แล้วแต่ใครจะจ้างเขียน


โดยที่จินยองไม่อาจกล่าวได้ว่าเขามี ‘ลายเซ็น’ เป็นของตัวเองเลยสักวินาทีเดียว











(and he whispers softly, 'who's care? are you fucking born genius bitch!?')

END







Let's kill our Park Jinyoung inside before he poisons you with his sweet smile. You need your own signature. Work harder to find it. (not only in writing, I mean 'every creative things' on earth.)

xoxo

J. 

March 03, 2016

MARKJIN | As long as you got me,


"  As long as you got me, 
you won't need nobody  "

theme song
Whatever you like - Anya Marina














คุณครับ
คุณ
คุณนั่นแหละ



เข้ามาก่อนสิครับ  ไม่ต้องอายหรอก  ช่วยปิดประตูด้วยนะครับ  ลงกลอนให้แน่นหนา  จะได้ไม่มีใครโผล่มาขัดจังหวะของเรา



นั่งลงปลายเตียงเลยครับ  ไม่ต้องเกร็ง  ทำตัวสบายๆ  เหมือนว่าโรงแรมม่านรูดแห่งนี้เป็นห้องชุดหรูหราที่คุณคุ้นเคย  หมอนข้างคืนนี้ของคุณอาจจะแปลกตาหน่อยนะครับ  คู่ขาจนโปรดของคุณน่ะเขาไม่ว่าง  ใช่ว่าผมอยากจะเสนอหน้ามาหาคุณเสียเมื่อไหร่  แม้ว่าลึกๆ แล้วผมจะแอบเฝ้ามองคุณจากระเบียงชั้นบนมาเนิ่นนาน  ในมุมอับที่คุณไม่มีวันรับรู้ว่าผมเองก็มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้



ขอโทษนะครับที่พล่ามอะไรไร้สาระ



วันนี้คุณหน้าตาดูเครียดๆ นะครับ  มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า? ถ้าคุณอยากเล่าผมก็จะเป็นผู้ฟังที่ดี  แต่ถ้าคุณอยากระบายด้วยวิธีอื่น  ผมก็เตรียมเสมอที่จะเป็นที่รองรับความกราดเกรี้ยวของคุณ  ใช่ครับ  ผมมองคุณออก  คุณไม่ได้มีความใคร่  คุณแค่ต้องการที่ระบายความเครียดขึงที่แน่นอยู่ในเส้นประสาทออกไป  แล้วคุณก็คิดอะไรไม่ออกนอกจากการมีเซ็กซ์  คุณเสพติดวิธีแก้เครียด  ไม่ใช่คนที่คุณไประบายความเครียดใส่เสียหน่อย  เพราะฉะนั้น...



กอดผมหน่อยสิครับ
แล้วผมจะทำให้คุณลืมทุกอย่าง



แม้กระทั่งคู่ขาคนโปรดของคุณ




:)




FIN


จริงๆ จะจิ้นเป็นใครก็ได้  แต่จะเขียนมัคจิน #ฟิคอลจ

February 21, 2016

MINBIN | YOURS





Y O U R S

#MINBIN







มินโฮยืนอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดิน
ณ จุดกึ่งกลางของชานชาลา  มีผู้ชายอีกคนกำลังส่งยิ้มบางเบามาให้เขา
รอยยิ้มที่เป็นดังคำสาปที่พันธนาการหัวใจเขาไว้ทั้งหมด

 

มินโฮไม่ได้เลือกที่จะรักฮันบิน
แต่ฮันบินเลือกเขา 
 

เลือกให้เขาเดินเข้าไปในชีวิต  เลือกให้เขาเป็นคนกุมความลับทั้งหลายทั้งปวง
เลือกให้เขาทำหน้าที่ที่แสนพิเศษยิ่งกว่าใคร
ฮันบินเลือกให้เขาทุกอย่าง
แต่ฮันบินไม่ได้เลือกเขา
หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือฮันบินไม่ได้รัก
ทุกอย่างที่ฮันบินทำไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ เป็นส่วนประกอบเลยแม้แต่น้อย
แต่ทุกอย่างที่ฮันบินสร้างกลับทำให้มินโฮตกหลุมรักฮันบิน

 


ตกหลุมรักในสิ่งที่มินโฮไม่ได้ตั้งใจจะเลือกให้เข้ามาในชีวิต

 


alicejay
160220

December 08, 2015

MarkNior | Before We Burn Down

BEFORE WE
BURN DOWN.




















คุณไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำหลังจากจูบมาราธอนของเราสิ้นสุดลง  มีเพียงนัยน์ตาหวานเชื่อมที่บอกกล่าวทุกความใจในให้ผมได้รับรู้  ยามที่คุณค่อยๆ ทอดตัวลงบนเตียงกว้างพร้อมกับริมฝีปากบวมช้ำที่เผยอออก  ผมก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าคุณกำลังเรียกร้องอะไร



“อ่า...”



คุณครางหวานยามเมื่อผมขบเม้มไปตามผิวเนื้อ  ไล่ตั้งแต่ใบหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจัด  ต้นคอที่คุณพรมน้ำหอมผู้ชายเอาไว้บางเบา  จนกระทั่งลาดไหล่ที่คุณเปรยว่าไม่เคยมั่นใจ  ผมตีตราจองทุกอณูพื้นผิวราวกับนักล่าอาณานิคม  รอยสีแดงช้ำและคมเขี้ยวไม่ต่างอะไรกับธงสัญลักษณ์ที่ปักปันไว้เพื่อบอกคนอื่นว่านี่คือเมืองขึ้นของผม



ของมาร์คต้วนคนนี้



ผมจูบคุณอีกครั้ง  ริมฝีปากของเราบดเบียด  เรียวลิ้นของเราเสียดสี  เราหยอกล้อซึ่งกันและกันอย่างรู้จังหวะ  คุณจูบผมบ้าง  ผมจูบคุณตอบ  รสเค็มปร่าของเลือดเจือมาในน้ำลายที่เราแลกเปลี่ยนกัน  คุณเอ่ยปากขอโทษในสิ่งที่คุณตั้งใจ  ผมได้แต่กระตุกยิ้มมุมปากแล้วจูบคุณให้ลึกซึ้งกว่าเดิม  คุณน่ะชอบเล่นเกมแรง  ผมรู้ดี  ทำไมผมจะไม่รู้ในเมื่อเรานอนด้วยกันมาเป็นสิบๆ ครั้ง



“ถอดเสื้อหน่อย” ผมกระซิบ  ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้นเพราะจูบแสนดูดดื่มที่เพิ่งจบลง  คุณเผยอปากหอบเพราะหายใจไม่ทันในขณะที่สองมือเลื่อนไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทของตัวเอง  ผิวสีน้ำนมที่มีรอยแดงประปรายปรากฏขึ้นในสายตา  ยังไม่ทันที่เสื้อจะหลุดออกจากตัว  ผมก้มลงไปครอบครองส่วนที่ชูชันสู้สายตานั่นทันที



คุณเผลอร้องออกมาด้วยความเสียวซ่าน  เอวบางบิดน้อยๆ เพราะความรู้สึกข้างในที่ตีรวน  คุณเกลียดเสมอยามผมทำตัวเป็นทารกที่หัดดื่มนมจากอกมารดา  แต่คุณก็ชอบใจทุกครั้งที่ฟันคมๆ ของผมเสียดสีกับยอดอกของคุณ  เปล่าเลย  คุณไม่เคยบอกหรอก  คุณมันพวกปากแข็ง  แต่ร่างกายของคุณโกหกได้ที่ไหน  ทุกการตอบสนองของคุณสารภาพหมดทุกอย่างว่าคุณชื่นชอบมันมากแค่ไหน



ที่รัก  ร่างกายของคุณกำลังเรียกร้องผม
มันกำลังต้องการให้ผมเข้าไปเติมเต็ม



“ม..มาร์ค  พอแล้ว” คุณเอ่ยห้าม  นัยน์ตาฉ่ำไปด้วยน้ำและแรงปรารถนาที่ถูกโหมให้กระพือ



ผมดึงเสื้อของคุณออก  แล้วหันไปจัดการกับกางเกงสแลคสีดำสนิท  ปลดเข็มขัดราคาแพงระยับนั่นทิ้งไปอย่างไม่ใยดี  ค่อยๆ รูดซิปลง  แล้วคลึงมือทักทายกับสัดส่วนที่เริ่มตื่นตัว  คุณครางต่ำในลำคออย่างพึงพอใจ  เอวบางร่อนไปมาแทบไม่ติดเตียง 



ไม่รู้เคยมีคนบอกคุณไหม  แต่ใบหน้าของคุณยามที่มีอารมณ์แม่งโคตรจะเซ็กซี่



“เรามีเวลาเท่าไหร่” ผมถามคนที่สติเริ่มหลุดไปเรื่อยๆ



คุณนิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ  “น่าจะสักชั่วโมง”



“งั้นน่าจะได้สักสองรอบ” ผมพยักหน้าเรียบๆ  ต่างจากคุณที่แก้มทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีแดงปลั่ง  คุณพยายามจะไม่เขิน  แต่ร่างกายของคุณช่างทรยศ 



ผมมองคุณออกหมดแหละครับมิสเตอร์ปาร์ค



อารมณ์ของคุณและผมถูกโหมให้สูงขึ้นเรื่อยๆ  คุณเป็นแม่เหล็กขั้วบวก  ส่วนผมก็เป็นขั้วลบ  ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราสองคนจะดึงดูดกันและกันมากขนาดนี้  ผมปลดเปลื้องเสื้อผ้าคุณออกจนหมด  ผิวของคุณตัดกับผ้าปูที่นอนสีคราม  ผมถอดเสื้อออกบ้าง  สายตาคมโลมเลียและสำรวจไปทุกสัดส่วนของคุณ  ที่รัก  คุณดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าครั้งที่แล้วที่เรากอดกันนะ  แต่ผมไม่ว่าอะไรหรอก  การได้กอดคุณแบบเต็มไม้เต็มมือเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขเสมอ



“จะจ้องอีกนานไหม” คุณต่อว่าไม่จริงจังนัก  คุณไม่ได้โกรธที่ผมผลาญเวลาที่มีอยู่น้อยนิดเล่นหรอก  แต่คุณเขินจนต้องหาอะไรมากลบเกลื่อนต่างหาก  ผมมองต่ำ  กล้ามแขนของคุณแน่นขึ้นแบบคนเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย  มันทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะฝังเขี้ยวลงไปหยอกเย้า



“มาร์ค มันเจ็บ!” คุณร้อง  พยายามดันศีรษะผมออกไป



ผมหลุดเสียงหัวเราะแล้วกดจูบแรงๆ ที่มุมปากคนขี้โวยวายหนึ่งที  “ก็นึกว่าชอบอะไรเจ็บๆ”



คุณชะงัก  แก้มใสที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปใหญ่  ผมยกยิ้มแล้วฉุดมือคุณให้ลุกขึ้นนั่ง  คุณอิดออดเล็กน้อยตอนที่ผมยกตัวคุณมานั่งคร่อมบนตัก  แต่ทันทีที่เราจูบกันคุณก็เลิกประท้วง  มือของคุณน่ะซนเป็นไหนๆ  มันแปะป่ายไปทั่วศีรษะและกล้ามท้องของผม  เช่นเดียวกับนิ้วมือของผมที่เริ่มต้นทำหน้าที่ของมัน



“อ๊ะ” คุณเผลออุทานเม่ือผมแทรกนิ้วเข้าไป  ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวจากสิ่งแปลกปลอมฝืดเคืองเพราะไร้สารหล่อลื่น  คุณขยับตัวอย่างอึดอัด  สะโพกของคุณบดเบียดอยู่กับตัวตนของผม  ไม่รู้ว่าตั้งใจไหม  แต่อากัปกริยาเหล่านั้นก็ทำให้ผมต้องสูดปากด้วยความเสียวซ่าน



คุณน่ะเก่งเหลือเชื่อเลยเรื่องทำให้ผมคลั่งไคล้



ผมแทรกนิ้วเพิ่มเข้าไป  ริมฝีปากก็ไล่จูบตั้งแต่หน้าอกจรดปลายคาง  คุณสะบัดหน้าขึ้น  สันกรามที่ผมชื่นชอบเด่นชัดจนอดไม่ได้ที่จะพรมพร่ำรอยจูบลงไป  ลิ้นร้อนแลบเลียไม่ต่างไปจากสุนัขขี้อ้อน  ร่างกายของคุณให้รสชาติที่ดี  กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำยังติดแน่นอยู่ที่ผิว  ยิ่งเมื่อผสานกับเหงื่อของคุณมันก็ยิ่งเร้าอารมณ์ดิบของผมมากขึ้นไปอีก 



ที่รัก  ผมมองหน้าคุณ  จ้องลึกลงไปยังดวงตากลมสีรัตติกาล  บางครั้งคุณก็ให้ความรู้สึกเหมือนตุ๊กตาแก้วที่หากผมสัมผัสแรงเกินไปคุณก็จะแตกสลาย  แต่คุณก็ทำให้ผมอยากถนอมและทำลายคุณไปพร้อมๆ กันในเวลาเดียว  ยามที่คุณขยับตัวขึ้นลงอย่างมีอารมณ์กับนิ้วของผม  ยามที่คุณเอาแต่เรียกชื่อผมซ้ำๆ  ยามที่คุณทอดกายลงบนเตียงและเรียกร้องให้ผมพาคุณไปยังฝั่งฝัน



ยามที่คุณเป็นเพียงปาร์คจินยอง  ไม่ใช่คุณชายปาร์ค - บุตรชายคนเล็กของกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่สุดกลุ่มหนึ่งของเกาหลีใต้ 
และผมเป็นเพียงมาร์ค  ไม่ใช่คุณต้วนอี้เอิน - บุตรชายคนโตของตระกูลคู่แข่งของคุณ












เราเจอกันโดยบังเอิญที่อิตาลีเมื่อสองปีก่อน  คุณกำลังวิ่งหนีบอดี้การ์ดตัวเองอยู่ยามที่เลี้ยวมุมมาชนผมจนล้มลง  ร่างกายของคุณทาบทับอยู่บนร่างกายของผม  ตาใสๆ แก้มยุ้ยๆ ของคุณทำให้ผมหายหงุดหงิดไปได้เล็กน้อยที่โดนคนแปลกหน้าทำให้บาดเจ็บ



“ขอโทษครับ” คุณเอ่ยด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงเอเชีย  แต่คุณไม่แม้จะรอคำตอบรับ  ร่างโปร่งของคุณวิ่งแจ้นหายลับไปในแสงแดดที่แสนสดใสของเมืองฟลอเรนซ์  ผมนั่งงงอยู่ชั่วครู่จนกระทั่งเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของคุณที่ทำร่วงเอาไว้



“คุณอี้เอิน เป็นอะไรไหมครับ” ลูกน้องคนสนิทที่เพิ่งกลับจากไปซื้อเครื่องดื่มอุทานเสียงดังเมื่อเห็นผมพยุงตัวขึ้นจากพื้น  ผมโบกมือเล็กน้อย  สายตายังจดจ้องอยู่ที่ภาพพักหน้าจอโทรศัพท์ที่เป็นรูปกรงนกและพิราบสีขาวที่อยู่ข้างใน  ผมมองตามวิถีที่คุณหายตัวไปอีกครั้ง  ทันเห็นชายชุดดำสามสี่คนวิ่งตามไปอยู่ไหวๆ  ไม่รู้ทำไม  แต่ลึกๆ ผมเริ่มกลัวว่าคุณจะถูกฆ่าตาย  ผมไม่ใช่คนที่จะใส่ใจเรื่องของคนแปลกหน้าหรอกนะ  แต่นัยน์ตาของคุณมันยังติดตรึงอยู่ที่ม่านตาของผม



และถ้าเป็นไปได้ผมอยากคืนโทรศัพท์เครื่องนี้ให้คุณด้วยตัวเอง



อาจเพราะอิตาลีกว้างเกินไป  และโลกก็ไม่เคยเหวี่ยงบุรุษแปลกหน้าให้โคจรมาเจอกันอีก  คุณจึงกลายเป็นเพียงความทรงจำที่ลางเลือนจนเสมือนจะไม่มีอยู่จริง 



จวบจนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีก่อน



คุณเดินเข้ามาในร้านกาแฟเล็กๆ ที่ผมชอบหลบมาคิดงาน  คุณสั่งคาปูชิโน่เพิ่มช็อตกับพนักงานก่อนจะสอดส่ายสายตาหาที่ว่าง  โชคร้ายที่ทุกโต๊ะเต็มหมดแล้ว  แต่โชคดีที่เราได้สบตากัน  ทีแรกผมจำคุณไม่ได้หรอก  ผมสารภาพ  หน้าม้าที่เคยยาวจนเสมอคิ้วถูกเซ็ทให้เป็นทรงเท่ๆ  คุณไม่ได้สวมเพียงเสื้อยืดสีเหลืองสดและกางเกงสามส่วนสีครีมอีกแล้ว  แต่คุณสวมสูทเต็มยศ  หน้าตาก็หล่อเหลาจนพนักงานหญิงในร้านแอบอมยิ้มด้วยความขวยเขิน



ผมผายมือ  เชื้อเชิญให้คุณนั่ง  คุณทำท่าคิดเล็กน้อย  พอดีกับที่กาแฟร้อนที่คุณสั่งแบบทานในร้านพร้อมเสิร์ฟ  คุณจึงไม่เหลือทางเลือกมากนักนอกจากเดินมานั่งตรงข้ามผม



“รบกวนหน่อยนะครับ” คุณพูดกับผมด้วยภาษาเกาหลีฉบับสุภาพ



ผมยิ้มรับ  เคลียร์พื้นที่โต๊ะให้โล่งมากพอที่จะวางแก้วกาแฟหนึ่งแก้ว  ผมลอบมองเสี้ยวหน้าคุณเนิ่นนานจนกระทั่งคุณเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือ  คิ้วเข้มเลิกน้อยๆ แทนคำถามว่ามีปัญหาอะไรไม่ทราบ



เราสบตากัน
ผมอมยิ้ม
และตัดสินใจถามคำถามที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวระหว่างคุณกับผม 



“คุณเคยทำมือถือหายที่อิตาลีไหมครับ?”
















คุณบอกผมว่าชื่อจินยอง  ผมแนะนำตัวเองว่ามาร์ค



คุณชอบมิเกลลันเจลโล  ผมชอบดาวินชี



คุณว่าคุณสนใจงานด้านแฟชั่น  แต่บ้านของคุณประกอบธุรกิจทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คุณชื่นชอบเลย  ผมยิ้มๆ  บอกคุณไปบ้างว่าผมอยากเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลในเอ็นบีเอ  แต่ความฝันของผมดับลงตั้งแต่ความสูงที่ไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร



คุณไม่ได้ชื่นชอบคาปูชิโน่  แต่เพราะเบื่อเอสเพรสโซ่ที่กินเป็นประจำเลยสั่งเมนูนี้  ส่วนผมน่ะไม่เคยดื่มอย่างอื่นนอกเสียจากอเมริกาโนเย็นไม่ใส่ไซรัป



คุณกับผมไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย  แต่บทสนทนาของเรากลับลื่นไหลตลอดหนึ่งชั่วโมง



ผมก้มหน้าพิมพ์ข้อความบอกให้เลขายกเลิกตารางงานเย็นนี้ทั้งหมด  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคุณที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองเช่นกัน



“ถ้าเย็นนี้คุณจินยองว่าง  ไปทานข้าวกันไหมครับ”



คำตอบของคุณคือรอยยิ้มที่ระบายกว้างทั้งในม่านตาและริมฝีปาก













เราพบกันอีกสามสี่ครั้งหลังจากนั้น  คุณยังเป็นคุณ  ผมยังเป็นผม  แต่บรรยากาศบางอย่างบ่่งบอกได้ว่าความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘เรา’ กำลังถูกถักทอขึ้นเรื่อยๆ  คุณเหมือนหนังสือที่ไม่มีวันอ่านจบ  ยิ่งได้สัมผัสก็ยิ่งได้เรียนรู้แง่มุมใหม่ๆ  ผมสนุกเสมอกับการได้รู้จักคุณเพิ่มขึ้นทุกวัน  ผมคิดว่าผมชอบคุณ - ชอบคุณมากๆ -  จนกระทั่งคุณจูบผมในค่ำคืนนั้นแทนการกล่าวราตรีสวัสดิ์  ผมถึงได้รู้ว่านอกจากชอบแล้วผมยังต้องการคุณมากไม่ต่างกัน



รถเก๋งญี่ปุ่นที่ให้ลูกน้องเช่ามาขับกลายเป็นโรงแรมชั่วคราวเมื่อขีดอารมณ์ของคุณและผมพลุ่งพล่าน  ครั้งแรกของเราเกิดขึ้นในรถยนต์ที่จอดเทียบอยู่ข้างสวนสาธารณะในเวลาตีสอง  คุณร้อนแรงจนผมเจียนบ้า  เสียงของคุณ  สายตาของคุณ  ร่างกายของคุณ  ทุกอย่างเป็นดั่งโซ่เหล็กที่ล่ามให้ผมถอนตัวไปจากคุณไม่ได้



ผมตกหลุมรักคุณ
ผมพูดได้อย่างเต็มปาก



เรากอดกันในพื้นที่แคบๆ จนกระทั่งแสงแรกของวันเริ่มเรืองรอง  คุณเป็นเหมือนฝันดีที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เจอในชีวิตนี้  เราจูบกันอีกครั้งก่อนจะโบกมือลา  แยกย้ายกลับไปยังที่ที่เราจากมา



ก่อนที่คุณจะกลายเป็นฝันร้ายเพียงชั่วข้ามคืน



“นั่นปาร์คจินยอง  ลูกชายคนเล็กของปาร์คกอนจุน” เสียงบิดาที่กระซิบอยู่ข้างๆ แทบไม่ได้ดังลอดเข้าไปในหู  ผมเหมือนคนที่สูญเสียความรู้สึกไปหมดแล้วนับตั้งแต่เห็นคุณเดินเข้ามาในงานเลี้ยงพร้อมกับคนในตระกูลที่เป็นคู่แข่งตลอดกาลของบ้านผม  คุณมองกลับมา  เราสบตากัน  สายตาของคุณเบิกกว้างไม่ต่างไปจากผม  ก่อนจะกลับมาราบเรียบเช่นผืนน้ำที่เบื้องล่างซัดสาดไปด้วยเกลียวคลื่น



เราไม่รู้  ไม่เคยรู้



“ทำไมคุณไม่บอกผมว่าคุณเป็นใคร” คุณแทบจะตะโกนใส่หน้าผมอยู่แล้วยามที่เราแอบมาเจอกันที่ห้องน้ำ  ใบหน้าของคุณบิดเบี้ยวด้วยความโกรธไม่ต่างไปจากผม



“นั่นคือคำถามของผมเหมือนกัน” 



คุณสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนหันหลังหนี  ผมเสยผมตัวเองอย่างหงุดหงิด  พยายามใจเย็น  เหลือบมองกระจกซึ่งสะท้อนภาพใบหน้าของคุณที่เต็มไปด้วยความกังวล  ด้วยสถานะของเราในยามนี้ไม่มีทางเลยที่เราจะคบกันได้  ตัดเรื่องงี่เง่าจำพวกรักร่วมเพศออกไปเลย  แค่เป็นเพื่อนร่วมโลกยังเป็นไปได้ยากด้วยซ้ำ



“จินยอง  ผมไม่อยากเสียคุณไป” ผมเดินเข้าไปใกล้  ซบหน้าลงกับหลังพลางรั้งคุณมากอดไว้  ก่อนที่ริมฝีปากจะยกยิ้มเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่เพิ่งซื้อให้จากร่างกายของคุณ



คุณยืนนิ่ง  ท่าทีหนักใจ  แม้จะลังเลแต่ก็ดูโน้มเอียงมาทางผมอยู่มาก



ผมจูบคุณที่หลังคออย่างย่ามใจ  ร่างกายของคุณขืนเกร็งขึ้นมา  ผมจูบคุณอีก  คราวที่ไล่ขึ้นตั้งแต่ต้นคอจรดติ่งหู  มือไม้ของคุณอ่อนระทวย  ไร้การต่อต้าน  จวบจนเราสองแลกเปลี่ยนเรียวลิ้นกันอย่างดูดดื่มราวกับลืมความจริงทุกอย่างนั่นแหละ   ทางออกของปัญหาก็ราวจะถูกเฉลยออกมาอย่างง่ายดาย



คุณคือไฟ
ผมคือน้ำมัน



เมื่อไฟรักของเราถูกจุดขึ้นมาแล้ว  อะไรก็แยกเราสองคนจากกันไม่ได้



ไม่มีวัน













ผมเร่งจังหวะการขยับนิ้วของตัวเองให้เร็วขึ้น  แนบกลีบปากลงบนเนินเนื้อหนั่นแน่น  ใบหน้าของคุณจมอยู่ที่หมอนใบเขื่องจนผมมองเห็นไม่ถนัด  ร่างกายของคุณทอดโค้งราวกับสายรุ้ง  เรียวขาที่รับน้ำหนักสั่นระริกทุกครั้งที่ปลายนิ้วของผมกระแทกโดนจุดกระสันที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน



“มาร์ค” คุณคราง  ทิ้งตัวนอนหงายหายใจหอบเมื่อผมถอนนิ้วออกไปแล้วแต่ยังไม่ลงมือทำอะไรต่อสักที  ผมยกยิ้ม  เอื้อมมือไปหยิบของฝากจากญี่ปุ่นมายื่นให้คนตรงหน้า  คุณขมวดคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ



“ลองช่วยตัวเองให้ดูหน่อยสิ”



“….”



“คุณเซ็กซี่ที่สุดตอนที่สัมผัสตัวเอง  รู้ตัวไหม”



คุณไม่ตอบรับ  ไม่แม้แต่จะยื่นมือมารับของฝากไปจากผม  มีเพียงสายตาขุ่นมัวที่ทอดมองมาเท่านั้น  หัวใจผมเต้นแรง  ไม่แน่ใจว่าคราวนี้ขอคุณมากเกินไปหรือเปล่า  จนกระทั่งคุณยกยิ้มที่มุมปากนั่นแหละ



“ได้  แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ”



“อะไร”



คุณลุกขึ้นไปหยิบเทคไทที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมา  ผลักผมให้นั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะมัดมือผมเอาไว้  สายตาของคุณพราวระยับและเจ้าเล่ห์ไม่หยอกยามเอ่ยบอกกติกา  “ในเมื่อขอให้ทำให้ดูก็มีสิทธิ์แค่ดูนะ”



ผมหลุดหัวเราะ  แต่จะยอมเล่นไปตามเกมของคุณสักตั้ง



คุณคลานกลับไปบนเตียง  ดวงตาล็อกอยู่ที่ผม  ก่อนจะค่อยๆ ลูบไล้ตัวเองไปมา  เริ่มตั้งแต่ใบหู  ริมฝีปากแดงช้ำ  คอ  ไหล่  ลำตัว  ไปจนสัดส่วนอ่อนไหวที่เริ่มเปียกชื้น  คุณอ้าปากหายใจหอบ  ส่งเสียงครวญครางที่คุณบอกว่าน่าอายแต่กลับเร้าอารมณ์คนฟังอย่างเหลือเชื่อออกมาไม่หยุดปาก  หัวใจของผมเต้นแรงยามที่คุณค่อยๆ สอดใส่ของเล่นเข้าไปในช่องทางของคุณ  ใบหน้าของคุณบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน  คุณเรียกชื่อผมซ้ำๆ จนกระทั่งมันสอดเข้าไปได้หมด  คุณเริ่มขยับตัว  นัยน์ตาปรือปรอยมองผมอย่างเชื้อเชิญ  ริมฝีปากอิ่มถูกขบกัดด้วยฟันขาว  ลมหายใจของคุณถี่กระชั้นทุกครั้งที่ยกตัวขึ้นลง



คุณกำลังทำให้ผมเป็นบ้า
ปาร์คจินยองตอนสัมผัสตัวเองคือสุดยอดของความน่าคลั่งไคล้



ผมเริ่มดิ้นเพื่อให้หลุดพันธนาการ  ยิ่งคุณร้องดังมากขึ้นเท่าไรหัวใจผมก็แทบวายมากขึ้นเท่านั้น  จนกระทั่งความพยายามสัมฤทธิ์ผล  ผมผลักคุณให้นอนราบ  ดึงของเทียมที่ไร้ชีวิตออกก่อนจะแทรกของจริงที่สั่นระริกเข้าไปแทน  คุณหวีดยาว  อ้าปากค้างเพราะจังหวะเกมที่เปลี่ยนเร็วเกินไป



“อ้าขากว้างๆ จะได้ไม่เจ็บ” ผมบอก  คุณพยักหน้า  พยายามทำตามแม้ว่ามันจะน่าอาย  ผมสอดแขนเข้าไปใต้ขาของคุณแล้วค่อยๆ ขยับตัว  ร่างกายของเราสั่นคลอน  คุณบีบรัดผมแน่นยิ่งกว่าครั้งไหนๆ  จังหวะลมหายใจของเราสอดประสาน 



ผมค่อยๆ เปลี่ยนเป็นนอนราบลงกับเตียง  ไม่ต้องบอกให้มากความคุณก็รู้ว่าผมต้องการอะไร  เราจูบกันอีกครั้งก่อนที่คุณจะปีนขึ้นไปนั่งบนร่างกายผม  วินาทีที่คุณกลืนกินผมเข้าไปคือวินาทีที่วิเศษที่สุด  คุณขยับตัวขึ้นลงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  เหงื่อเย็นๆ ไหลซึมตามร่างกายจนเปียกลื่น  สัมผัสเฉอะแฉะฟังดูหยาบโลนยามที่เนื้อกระทบกัน  แต่ผมกลับชอบมันมากกว่าซิมโฟนีหมายเลขห้าที่คุณโปรดปรานเสียอีก 



“จินยอง  จินยอง  อ่า...” ผมครวญคร่ำแต่ชื่อคุณ  เรากกกอดกันและกันยามแทรกตัวเข้าไปจนลึก  คุณทิ้งรอยฟันเอาไว้บนไหล่ของผมเพื่อระบายความอัดอั้นในอก  กลีบปากอิ่มตึงช้ำยังคงส่งเสียงหวานหูไม่หยุด



“มาร์ค  อีก.. อ๊ะ..มาร์ค”



ผมไม่รู้ว่าคุณเรียกร้องอะไร



ลึกอีก แรงอีก หรือเร็วอีก 



แต่ผมก็สนองให้คุณทั้งหมด



จนกระทั่งช่วงเวลาที่เราหลอมรวมเป็นหนึ่ง  คุณปลดปล่อยออกมาก่อน  ผมรีบเร่งจังหวะกระแทกกระทั้นจนสองเสียงผสานไม่เป็นภาษา  จากนั้นจึงตามคุณไปติดๆ



เราหายใจหอบ  ทิ้งตัวลงนอนข้างกันอย่างหมดแรง  เกมรักของเราร้อนแรงเสมอ



“เหลือเวลาเท่าไหร่”



คุณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา  “อีกยี่สิบนาที”



ผมลุกขึ้นนั่ง  แม้จะยังเหนื่อยอยู่แต่เป้าหมายที่ตั้งไว้ยังไม่ลุล่วง  ผมพรมจูบไปบนข้อเท้าของคุณ  ไล่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงต้นขา  คุณนอนมองทุกการปรนนิบัติจากผมด้วยแววตาขบขันระคนเอ็นดู  ผมบอกคุณไปแล้วว่าผมไม่เคยทำให้ใครมากขนาดนี้  คุณเป็นคนแรก  และอาจจะเป็นคนเดียวที่ได้อภิสิทธิ์มากขนาดนี้  ไม่ใช่เพราะคนเกิดในตระกูลที่พรั่งพร้อมไปด้วยอำนาจและทรัพย์สิน  ไม่ใช่เพราะคุณคือคนสำคัญของวงการ



แต่เพราะคุณคือปาร์คจินยอง
ผู้ชายที่ผมยอมศิโรราบให้จนหมดหัวใจ














ผมเดินเข้ามาในงานเลี้ยงในอีกสามชั่วโมงต่อมา  ข้างกายซ้ายขวาเต็มไปด้วยบอดี้การ์ดประจำตัว  เป็นครั้งแรกที่คุณชายต้วนมาออกงานแทนบิดาของตน  ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งจนไม่มีใครเดาออกว่าภายใต้หน้ากากนี้ซ่อนความรู้สึกอะไรไว้



“ขอบคุณที่มานะคะคุณมาร์ค” หญิงสาวเจ้าของงานยิ้มกว้างส่งมาให้  ผมรู้จักเธอมาก่อนในฐานะคู่ดูตัวเมื่อหลายปีก่อน  แต่เราเข้ากันไม่ได้ต่างคนก็เลยต่างไป  จนกระทั่งเธอเจอคนที่พร้อมจะลงเอยด้วยในที่สุด  “ขอบคุณที่มานะฮเยจิน”



ภรรยาของผมยิ้มให้อย่างมีจริต  เธอกล่าวอวยพรแด่คู่บ่าวสาวก่อนจะสวมกอดเจ้าหญิงของค่ำคืนนี้อย่างแนบแน่นตามประสาคนเป็นเพื่อนกัน



ผมยิ้มก่อนจะเสตาไปมองเจ้าบ่าวรูปหล่อที่ยืนอยู่ข้างกัน  “ยินดีด้วยนะครับ”



“ขอบคุณตระกูลต้วนที่ให้เกียรติมางานแต่งของเรานะครับ”



“แน่นอนสิครับ  ผมจะไม่มาได้ยังไง”



หญิงสาวยิ้มกว้างพลางซบหน้าลงกับท่อนแขนของว่าที่สามี  “นี่มาร์คไม่เคยเจอแฟนเรามาก่อนใช่ไหม”



ผมยิ้ม  พร้อมกับยื่นมือออกไปรอรับสัมผัส  “ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”



ฝ่ามือของเจ้าบ่าวยื่นมาสัมผัสกับผม



ผมเงยหน้า  นัยน์ตาพราวระยับและเต็มไปด้วยนัยยะซ่อนเร้น



“ยินดีเช่นกันครับ”



คุณยิ้ม
ยิ้มซึ่งมีผมเพียงคนเดียวในโลกที่ได้รับ






END







Let's TALK!

ทดลองเป็นมาร์คต้วนกันเถอะ  อิอิ  คุยกันใน #ฟิคอลจ ค่าาาา~


อลจ.
151206

November 02, 2015

JACKBAM | Tongue Tied

 #1เพลง1คู่

รับโจทย์มาจาก @mithunajunejune

Tongue tied - Grouplove | https://www.youtube.com/watch?v=1x1wjGKHjBI
แปล: http://www.aelitaxtranslate.com/2012/07/grouplove-tongue-tied.html


JACKSON x BAMBAM







แบมแบมไม่ได้เมา
เขามีสติครบถ้วนตอนที่หวังแจ็คสันขอเขาเป็นแฟนเมื่อสองปีก่อน


“อย่าเสียเวลาเลย ฉันรู้ว่านายก็ชอบฉัน” แอลกอฮอล์ในร่างกายดูจะมีฤทธิ์ร้ายแรงน้อยกว่าคนตรงหน้า ชายหนุ่มผลักแบมแบมไปติดกำแพง ริมฝีปากคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง เสียงทุ้มเซ็กซี่ที่เขารักจับใจเร่งเร้าเอาคำตอบ “ว่าไงหนุ่มน้อย”


เขาตอบคำถามนั้นด้วยจูบอันร้อนแรง


เสียงเพลงยังคงดังลั่น
กลิ่นเหล้ายังคงคละคลุ้ง
ปาร์ตี้ยังคงดำเนินต่อไป
แต่โลกของ ‘พวกเขา’ หยุดหมุนแล้วตั้งแต่วินาทีที่เริ่มสัมผัสกันและกัน


“พรุ่งนี้ว่างมั้ย” แจ็คสันถามหลังจากผละริมฝีปากออกมาแล้ว


“จะชวนฉันไปเดตเหรอ”


“จะชวนกินข้าว แต่ถ้านายพอใจจะเรียกว่าเดตฉันก็ไม่ขัดข้อง”


“เลี้ยงหรือเปล่า?”


แจ็คสันทำท่าครุ่นคิดแล้วว่า “เลี้ยงก็ได้”


รู้ว่างี่เง่า แต่ก็คิดไม่ได้ว่าถ้าแจ็คสันอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนเขาไปตลอดก็คงดี
เขากำลังคาดหวัง
ใช่ กำลังคาดหวัง


.
.
.


แบมแบมเพิ่งรู้ว่าเวลาสองปีมันนานพอที่จะทำให้เขารักแจ็คสันจนหมดใจ
ในขณะที่อีกฝ่ายไม่เหลือเยื่อใยอะไรไว้ให้เขาเลย


เขาไม่ได้เมา
แบมแบมมีสติครบถ้วนดีตอนที่คนรักบอกว่าต้องการระยะห่าง
เพียงแค่เขาพูดอะไรไม่ออกเท่านั้นเอง


เสียงเพลงยังคงดังลั่น
กลิ่นเหล้ายังคงคละคลุ้ง
ปาร์ตี้ยังคงดำเนินต่อไป
แต่โลกของ ‘เขา’ หยุดหมุนแล้ว




FIN.



let's talk!

มิมิขอให้เขียนแจ็คแบมเพราะช่วงนี้นางองค์คู่นี้ โอเค จัดให้ ๕๕๕๕
ไม่รู้ว่า Challenge นี้ใครเริ่ม แต่สนุกดีค่ะ ขอบคุณนะคะ <3

AliceJay