June 21, 2015

MarkNior | Moonlight

Title :: MOONLIGHT

Author :: AliceJay

Category :: AU

Pairing :: Mark/Jinyoung

 





MOONLIGHT .






















มาร์คผลักจินยองลงบนเตียงก่อนจะตามมาประกบจูบอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ขาดตอน  ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและรุนแรงจนคนใต้อาณัติแทบจะหลอมละลาย ประหนึ่งตัวเองเป็นขี้ผึ้งยามโดนไฟลน


ไม่มีบทสนทนาอื่นนอกเสียจากเสียงครางอย่างสุขสมและผิวเนื้อยามสัมผัสกัน   จินยองจิกมือของตัวเองลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกัน เมื่อสิบห้านาทีก่อนจนเลือดซิบ   ความเสียวแล่นไปตามไขกระดูกสันหลังทุกครั้งที่มาร์คขยับตัว  ผิวหน้าร้อนเห่อราวกับจะลุกเป็นไฟยามที่ริมฝีปากอิ่มลากผ่านก่อนจะหยุดหยอก ล้อกับใบหูที่เป็นจุดไวสัมผัสของร่างกาย


มาร์ครู้จักทุกอณูในร่างกายของจินยองเป็นอย่างดีราวกับว่าเคยร่วมรักกันมานับ ครั้งไม่ถ้วน  ทั้งๆ ที่นี่เพิ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอหน้ากันด้วยซ้ำ   ถ้าไม่ใช่เพลย์บอยผู้ช่ำชองก็อาจจะเป็นปีศาจสักตัวที่สามารถอ่านใจได้ว่าตอน นี้เขากำลังคิดหรือรู้สึกอะไร


หลังจากผ่านครึ่งชั่วโมงแรก  จินยองตัดสินใจให้มาร์คเป็นปีศาจ


เขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน   ย้อนไปเกือบหนึ่งชั่วโมงที่แล้วจินยองกำลังเดินกลับหอเพียงลำพัง  แล้วจู่ๆ ผู้ชายคนนี้ก็ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้า   ใบหน้าหล่อเหลาดั่งรูปสลักนิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จนเขานึกกลัว   แต่ทั้งๆ ที่ใจสั่งให้เขาเดินเลี่ยงออกไป  แต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ยอมขยับไปไหน   ราวกับร่างกายของเขาถูกตรึงไว้โดยสายตาคมสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นเรียบร้อยแล้ว


“ต้องการอะไร”


“สวัสดี ปาร์คจินยอง  จำฉันไม่ได้ล่ะสิ” ผู้ชายคนนั้นพูดพลางขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้น  ผมสีควันบุหรี่ของเขาโดดเด่นตัดกับท้องฟ้าที่ไร้แสงดาว  อับกูจองไม่เคยร้างคนแม้ในยามราตรี  แต่ตอนนี้กลับไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นใดโผล่มาเข้ามาให้เห็นในรัศมี ร้อยเมตรนี้เลย  “เรียกฉันว่ามาร์คแล้วกัน”


จินยองรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนดูดให้เข้าใกล้ชายหนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ   เขาพยายามประคองสติ  พยายามบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านี่มันแปลกนะ  แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว   ไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืนยามที่อีกฝ่ายก้มลงมากระซิบ ‘ขออนุญาต’ ที่ข้างหูด้วยซ้ำ   จินยองไม่ได้ใสซื่อจนไม่รู้ว่าสิ่งที่มาร์คบอกหมายความว่าอย่างไร   แต่เขาก็ยังยอมให้อีกฝ่ายจับจูงมาจนถึงห้องพักใกล้ๆ


แล้วเกมรักก็เริ่มต้นขึ้น


ทันทีที่ประตูปิด  มาร์คก็ผลักเขาติดกำแพง   แววตาของมาร์ควูบไหวยามที่มองมายังเขา   นี่เป็นครั้งแรกที่จินยองสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้ายังมีความรู้สึกอยู่   ร่างโปร่งขยับเข้ามาใกล้แล้วเอาหน้าผากของตนแนบกับหน้าผากของเขา    จินยองใจเต้นไม่เป็นส่ำกับความอ่อนโยนที่เกิดขึ้นในฉับพลัน  ไอร้อนจากลมหายใจปะทะเข้ากับใบหน้าหวานจนเขารู้สึกขัดเขิน


“ฉันรอมาร้อยปีเพื่อจะได้พบนายอีกครั้ง” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบา นัยน์ตาคู่สวยปิดลงเหมือนกำลังจ่อมจมไปกับความทรงจำของตัวเองก่อนจะลืมตา ขึ้นมาอีกครั้ง  ความเยียบเย็นที่เขาเห็นในตอนแรกหายไปแล้ว  ตอนนี้จินยองเห็นแต่ความปรารถนาลุกโชนในจักษุคู่นั้น  “อยู่กับฉันจนกว่าแสงจันทร์จะหายไป”


จินยองไม่มีเวลาทำความเข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนัก  เพราะทันทีที่มาร์คพูดจบ  ริมฝีปากของเขาก็ถูกครอบครองทันที  ข้อมือบางทั้งสองข้างถูกตรึงติดกำแพง  ความหวาบหวามกำลังเล่นงานเสียจนเขาเข่าอ่อน   มาร์คยอมปล่อยมือขวาของเขาให้เป็นอิสระเพื่อมาโอบเอวบางเอาไว้ไม่ให้ทรุดไป เสียก่อน  พร้อมๆ กับเปิดโอกาสให้จินยองได้กำเสื้อเชิ้ตของเขาเป็นที่ยึดเกาะอีกแรง


มาร์คจูบเก่งมาก
มากชนิดที่ทำให้จินยองอยากจะบ้าตายอยู่ตรงนั้น


เรียวลิ้นของมาร์คสอดเข้ามาในโพรงปากของเขา  ก่อนจะทำหน้าที่เหมือนยานอวกาศที่ลงสำรวจพื้นผิวของดวงจันทร์  มันลัดเลาะไปทั่วแนวฟันทั้งบนและล่าง  เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขา  ดูดดึง  เกี่ยวพัน  ชักจูง  ฟันคมขบเม้มที่ริมฝีปากอิ่มจนได้รสเลือดจางๆ  เสียงเฉอะแฉะของน้ำลายฟังดูหยาบโลน  แต่วินาทีนี้ใครจะสน  มาร์คถอนจูบออกโดยมีน้ำลายที่ไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครยังเชื่อมริมฝีปาก ของพวกเขาอยู่  ปล่อยให้จินยองหายใจได้ไม่เกินห้าวินาทีแล้วก็ก้มลงมาประกบใหม่  เป็นอย่างนี้ซ้ำๆ เกือบสิบห้านาที  


จินยองขอเรียกมันว่าจูบสูบวิญญาณ


แม้ตอนแรกจะยังไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงยอมเดินตามผู้ชายแปลกหน้าคนนี้มา  แต่ตอนนี้เขากลับมีอารมณ์ร่วมด้วยอย่างเต็มที่  จินยองไม่ใช่พวกฟรีเซ็กส์  อันนี้จริงแจ็คสันเคยกระแหนะกระแหนเขาบ่อยครั้งด้วยซ้ำว่าเป็นพวกเลือกมาก  ยิ่งกับผู้ชายเขายิ่งไม่เคยเลย   ดังนั้นเขาถึงได้สนเท่ตัวเองมากว่าอะไรดลให้เขามายืนจูบกับชายแปลกหน้าอยู่ตรงนี้


ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววิ  แล้วจินยองก็ดั่งตกอยู่ในมนตร์สะกด  เขารู้ตัวทุกอย่างนะว่ากำลังทำอะไร  หรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง  เพียงแต่เขาบังคับตัวเองไม่ได้เลย   ราวกับว่าจิตใจของเขากำลังภักดีต่อเจ้านายคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง


“นายห้ามตัวเองไม่ได้หรอก  ไม่มีวัน” มาร์คพูดขึ้นขณะปลดอาภรณ์ของเขาออกไป  อากาศในฤดูหนาวเย็นจัดจนทำให้ขนอ่อนลุกซู่ทั้งร่างกาย  จินยองชะงักมือที่กำลังช่วยถอดกระดุมเสื้อของมาร์คทันที  ดวงตาฉ่ำหวานเงยสบกับลูกแก้วสีน้ำผึ้งด้วยความสงสัย


“รู้ได้ไงว่าฉันคิดอะไรอยู่”


“ไม่เคยมีใครบอกเหรอว่าคนอย่างนายน่ะอ่านง่ายยิ่งกว่าอะไรดี”  มาร์คยกยิ้มมุมปาก  จบประโยคนี้สกินนี่สีซีดของจินยองก็ลงไปกองที่พื้นพอดี   มาร์ควางมือที่สะโพกผายก่อนจะเคล้นคลึงไปมาอย่างหลงใหล


“ไม่จริง” เขาปฏิเสธ  เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทไร้ลวดลายของมาร์คหลุดติดมือออกมาเหมือนกัน 


“รู้ไว้อย่างเดียวก็พอว่านายเป็นของฉัน  ไม่ว่าชาตินี้  หรือชาติไหน  นายหนีมันไม่พ้นหรอก  มันเป็นโชคชะตา”


ทั้งคู่จ้องตากันอย่างเงียบงัน  อยู่ๆ ในหัวใจของจินยองก็อุ่นวาบขึ้นมา  ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นนักสะกดจิตที่เก่งที่สุดเท่าที่จินยองเคยพาลพบ   เขาทำให้จินยองเชื่อหมดใจในเรื่องที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่เคยฟังมาในชีวิต


มือบางเอื้อมไปลูบไล้ใบหน้าที่มีไรหนวดจางๆ ด้วยความรู้สึกที่ต่างจากนาทีที่แล้วโดยสิ้นเชิง   เขาประทับรอยจูบลงบนคางของมาร์ค  มองข้ามว่าชายหนุ่มเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามา


“กอดฉันที” จินยองว่า  ดวงตาทอประกายยินยอม  “จนกว่าจะสิ้นแสงจันทร์”


มาร์คทวนคำเสียงแผ่ว  “จนกว่าจะสิ้นแสงจันทร์”



::::::::::  MOONLIGHT ::::::::::




จินยองเริ่ดหน้าขึ้นเมื่อริมฝีปากของมาร์คลากผ่านลำคอที่ยังกระดูกไหปลาร้า   มือเรียวจิกผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ไปหมดเมื่อมาร์คฝากรอยประทับเอาไว้   เขาครางแผ่วออกมาอย่างรู้สึกดี  หัวสมองขาวโพลนไม่รับรู้สิ่งอื่นใดนอกเสียจากสัมผัสจากคนตรงหน้า
 


สียอดอกของจินยองตัดกับผิวขาวประหนึ่งแสงจันทร์   เขาถดกายหนีความหวาบหวามระลอกใหม่ที่ตีรวนขึ้นมาในช่องท้องเมื่อได้สัมผัสอุณหภูมิของลิ้นที่สูงกว่าอุณหภูมิที่ผิวหนัง   ขนอ่อนของจินยองลุกซู่  ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอากาศหรือความซาบซ่านที่กำลังเล่นงานตัวเองอยู่   จินยองพยายามจะเบี่ยงตัวหลบ   ทว่าร่างของมาร์คที่ทาบทับอยู่เหนือตัวทำให้หนีไปไหนไม่ได้ไกลนัก  จินยองไม่เคยเป็นผู้โดนกระทำ  เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัมผัสเพียงเล็กน้อยกับจุดไวสัมผัสจะสร้างความรู้สึกที่แปลกประหลาดได้มากขนาดนี้



 

“แล้วนายจะชอบ” เป็นอีกครั้งที่มาร์คเหมือนอ่านใจเขาได้   จินยองผ่อนมือที่เกร็งไว้แล้วรั้งมาร์คมาจุมพิต  ปล่อยให้มือข้างที่ว่างของอีกฝ่ายปรนเปรอความสุขให้ตัวเองแทน   มาร์คละจากกลีบปากที่บวมเจ่อของจินยองมายังดอกกุหลาบสีสวยอีกครั้ง   ริมฝีปากของมาร์คเหมือนหมู่ภมรที่เข้ามาค้นหาน้ำหวานจากดอกไม้งาม  ครอบครอง  ฟอนเฟ้น  และดูดดื่ม  ทิ้งไว้เพียงรสสัมผัสที่รัญจวนใจเกินต้านทาน
 


ในขณะที่เอวบางกำลังบิดเร้ากับสัมผัสแปลกใหม่   มือของมาร์คก็เลื่อนลงต่ำไปเรื่อยๆ  อุณหภูมิของเกมรักสูงขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อจินยองโดนปลุกเร้าพร้อมๆ กันทั้งด้านบนและด้านล่าง   มาร์คเอ่ยชมว่าเสียงของเขาไพเราะจับใจแม้จะฟังไม่เป็นภาษา 
 


“ดังอีกนิดได้ไหม  เดี๋ยวให้รางวัล”
 


จินยองไม่มีสติใดๆ ที่จะตอบรับคำอ้อนวอนดังกล่าว   อันที่จริงเขาไม่สามารถเรียบเรียงประโยคใดๆ ในหัวได้เลย   เพราะแม้แต่จะหายใจก็ยังทำไม่ทันจนต้องหายใจทางช่องปากอีกทาง     อุณหภูมิอุ่นร้อนของฝ่ามือตัดกับไอเย็นจากแหวนเงินที่มาร์คสวมติดนิ้ว    ให้ความรู้สึกเสียววูบวาบทุกครั้งที่โดนเข้ากับจุดไวสัมผัสของร่างกาย    ริมฝีปากของมาร์คเลื่อนลงมาสาละวนอยู่แถวต้นขาด้านใน   ฝากรอยแดงเอาไว้ต่างธงที่ปักแสดงเขตแดน   ก่อนจะเข้าครอบครองตัวตนของจินยองเอาไว้   มือบางจิกผ้าปูที่นอนจนแทบขาด  เสียงหวานครวญครางแทบขาดใจทุกครั้งที่มาร์คใช้ลิ้นเล่นสนุกกับร่างกายของตัวเอง  
 


เซ็กซ์กับปีศาจ    
ทรมานทว่าสุขสม


 

มาร์คเร้าอารมณ์ของจินยองให้พุ่งขึ้นสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนกระทั่งจินยองปลดปล่อยทุกอย่างออกมา   เขามองเห็นแสงจันทร์รำไรที่ลอดเข้ามาในห้อง   เพิ่งระลึกได้ว่าได้กลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งหลังจากมาร์คพาเขาขึ้นไปแตะขอบสวรรค์เมื่อครู่
 


“พร้อมนะ”
 


จินยองปรือตามองอีกฝ่าย   เขาเคยรู้แต่ทฤษฎีว่าผู้ชายมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันอย่างไร   ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งเขาจะได้มาอยู่ในห้องปฏิบัติด้วยตัวเอง 
 


“อ๊ะ”
 


ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น  แต่ไม่คุ้นเคย   นิ้วมือของมาร์คกำลังทำหน้าที่ที่ปกติมันไม่ได้ทำ  จากหนึ่งเป็นสอง  จากสองเป็นสาม  จนความอึดอัดในคราแรกเปลี่ยนเป็นความวาบหวาม   ร่างที่นอนหมดแรงอยู่บนเตียงเผลอกัดปากตัวเองจนเลือดซิบ    หัวใจของจินยองเต้นระรัวเยี่ยงเสียงกลองของเหล่านักรบ   มาร์คพยายามทำให้จินยองผ่อนคลายมากที่สุดด้วยการจุมพิตที่ต้นขาของเขาอีกครั้ง
สัมผัสของมาร์คร้อนแรงดั่งเปลวไฟ   แต่ก็นุ่มนวลดุจแสงจันทร์
 


มาร์คจับจินยองพลิกคว่ำเมื่อเห็นว่าร่างกายของเขาเริ่มปรับตัวได้แล้ว   ชายหนุ่มจูบเขาที่หลังคอ  สูดกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์  ขบเม้มที่ติ่งหู   แล้วไล่พรมจูบต่ำลงมาเรื่อยๆ ตลอดแนวกระดูกสันหลัง   จินยองรู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง
มาร์คทำให้จินยองต้องการชายหนุ่มจนแทบบ้า
 


“พี่ขอนะ”
 


“อือออ”  จินยองเผลอครางยาวเมื่อมาร์คเข้ามาลึกกว่าที่คิด  ร่างเพรียวอ้าปากหายใจหอบ  น้ำตาเม็ดใสซึมที่หางตา  เขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
 


“อย่าเกร็งนะคนดี”  มาร์คโน้มตัวมากระซิบแผ่วเบาที่ข้างแก้ม  แล้วฝังรอยจูบเอาไว้ที่ลาดไหล่บาง  พร้อมๆ กับนวดเฟ้นร่างกายของเขาไปทุกส่วนจนจินยองมั่นใจว่าไม่มีตรงไหนที่มาร์คยังไม่ได้สัมผัส   ชายหนุ่มเริ่มขยับตัวอีกครั้งจนเขาได้แต่ครางอื้ออึงรับสัมผัสที่ดำเนินไปอย่างเนิบนาบก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
 


ม่านเมฆเคลื่อนที่มาบังเงาจันทร์เอาไว้จนมืดสนิท  เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงตะวันก็จะกลับมาเยือนอีกครั้ง
 


เวลาของพวกเขาน้อยลงทุกวินาที
 


มาร์คถอนตัวออกมาแล้วจับจินยองขึ้นมาคร่อมบนตักตัวเอง  จินยองรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายทันที   เขาค่อยๆ ทิ้งสะโพกลงบนส่วนแข็งขืนของปีศาจรูปหล่อ  
 


ครั้งแล้ว  ครั้งเล่า 
 


เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมไปทั่วไรผม  อัตราการเต้นของหัวใจถี่สูงเกินไปเนื่องจากการออกแรงขยับร่างกายและความตื่นเต้นในการเปลี่ยนมาเป็นผู้คุมเกม  มาร์คทำให้จินยองแทบจะตัวระเบิดด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นจนเกินไปอีกครั้งจากการมอบสัมผัสให้พร้อมๆ กันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
 


มันสุขสม
มันหวาบหวาม
แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบโหวงในหัวใจ
 


เหมือนกับว่าเมื่อใดก็ตามที่การเดินทางสิ้นสุด   เขากับมาร์คก็จะกลับไปเป็นคนแปลกหน้าอีกครั้ง
 


“เรียกชื่อฉัน  ได้โปรด” มาร์คร้องขอ   ริมฝีปากของชายหนุ่มก็หลุดเสียงครางออกมาไม่เป็นภาษาเหมือนกับเขา
 


“..ม..มาร์ค   มาร์ค”  จู่ๆ จินยองก็รู้สึกคุ้นเคยกับคนตรงหน้า  ภาพที่เขากับมาร์คกำลังร่วมรักกันฉายซ้อนขึ้นมาในสมองเหมือนจะอธิบายว่าทำไมมาร์คถึงได้รู้จักร่างกายของเขาเป็นอย่างดี
 


สติของเขากำลังจะหลุด
 


“อี้  อ๊ะ  อ..อ..  อาเอิน”  จินยองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลุดปากอะไรออกมา  แต่คำพูดของเขาทำให้มาร์คหยุดการกระทำของตัวเองไปชั่วขณะหนึ่ง   จนกระทั่งเสียงหวานประท้วงขึ้นมามาร์คจึงได้จับจินยองนอนราบกับเตียงอีกครั้ง   โดยคราวนี้เขาเป็นฝ่ายปรนเปรอร่างเพรียวด้วยตัวเอง
 


สัมผัสของมาร์คแรงขึ้นและลึกซึ้งขึ้น   ทั้งสองจูบกันอีกครั้งและอีกครั้ง   สองเสียงครวญครางผสานกันจนแยกไม่ออก   จนในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็จบสิ้นลงจริงๆ เสียที


จินยองหายใจหอบอยู่ข้างๆ มาร์คที่เพิ่งทิ้งตัวลงนอนข้างกัน  กล้ามเนื้อของเขายังกระตุกอยู่หน่อยๆ  แต่ตัวกลับเบาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน   มือบางของมาร์คเอื้อมมากุมมือเขาไว้หลวมๆ  จินยองหันหน้าไปมองด้านขวามือของตัวเองก็พบชายหนุ่มที่นอนมองเขาอยู่ก่อน แล้ว   นัยน์ตาของมาร์คอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัด  และรอยยิ้มที่ส่งมาก็อบอุ่นจนเกินบรรยาย


จินยองรู้สึกว่าเขากำลังตกหลุมรักผู้ชายแปลกหน้าเข้าให้แล้ว


“นายจำอี้เอินได้มั้ย”  อยู่ๆ มาร์คก็ถามขึ้นมา


จินยองขมวดคิ้ว  “ใคร?”


มาร์คระบายยิ้มเศร้า  ไม่แปลกใจที่จินยองจะจำไม่ได้   ที่เผลอเรียกชื่อจริงของเขามาเมื่อกี้ก็คงเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น


จะจำได้ยังไงในเมื่อถูกสั่งให้ลืมไปหมดสิ้นแล้ว





“เราหนีไม่พ้นแล้วจินยอง  กลับไปซะ  เทพกับปีศาจยังไงก็รักกันไม่ได้  ฉันไม่อยากให้จินยองต้องมาตายเพราะฉัน”
“ไม่อาเอิน  ได้โปรดอย่าทำแบบนี้  อย่าผลักให้ฉันกลับไปใช้ชีวิตโดยไม่มีนาย”
“ฉันรักจินยองนะ  ได้โปรดจำไว้ว่า   ไม่ว่าจะชาตินี้  ชาติหน้า  หรือชาติไหน  ฉันก็จะตามรักนายไปทุกชาติ”





แล้วจินยองก็ตายต่อหน้าต่อตาเขา


ตายด้วยน้ำมือของคนที่ร่างเล็กเรียกว่า ‘พี่ชาย’   ส่วนเขาก็บาดเจ็บสาหัส   อันที่จริงอี้เอินรู้ดีว่าไม่มีวันที่เขากับจินยองจะหนีไปได้ไกลกว่านี้  เพราะต่อให้ไปสุดขอบฟ้า  ท่านมหาเทพก็สามารถตามหาพวกเขาได้อยู่ดี


ลูกชายคนเล็กของเทพแห่งดวงจันทร์กับลูกชายคนโตของปีศาจแห่งไฟ   เรื่องของพวกเขามันผิดตั้งแต่ชาติกำเนิดแล้ว


จิน ยองถูกลงโทษโดยการให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ห้าร้อยปี   ส่วนอี้เอินได้รับการช่วยชีวิตจากเทวีแห่งจันทรา   แม่แท้ๆ ของคนรักของเขา   เธอรักจินยองมาก  และรู้ดีว่าลูกชายตัวเองก็รักปีศาจตนนี้มากเหมือนกัน   จากโทษตาย  อี้เอินจึงถูกลดโทษเหลือเพียงโดนกักบริเวณบนดวงจันทร์ห้าร้อยปีฐานที่แหกกฎ ภพภูมิผู้วิเศษ   ทุกวันอี้เอินได้แต่เฝ้ามองจินยองอยู่บนท้องฟ้า   เขาต้องทนเห็นจินยองเกิด-แก่-เจ็บ-ตายวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ทำอะไรไม่ ได้นอกเสียจากภาวนาให้มนุษย์ตัวน้อยผู้นั้นจงเข้มแข็ง  เพื่อรอเวลาให้พวกเขาได้พบกันอีกครั้ง



ความรักของมาร์คที่มีต่อจินยองนั้นกล้าแกร่งมากจนในที่สุดเทวีก็ยอมรับ   โดยอนุญาตให้เขาลงมาหาจินยองบนโลกมนุษย์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ในทุกหนึ่งร้อยปี   ก่อนจะต้องกลับไปยังดวงจันทร์เพื่อรับโทษต่อไป


คืนนี้เป็นปีที่สี่ร้อยสำหรับการลงโทษ


อี้ เอินอธิบายไม่ถูกเลยว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นจินยองเดินมา   ร่างเล็กยังคงเหมือนเทพน้อยองค์เดิมทุกประการที่เขาเคยรู้จัก  น้ำตาของมาร์คไหลรินอย่างเป็นสุขเมื่อเห็นว่าคนรักได้มีชีวิตที่ดีบนโลก มนุษย์   เขาปาดน้ำตาออกแล้วร่ายเวทย์ให้จินยองเห็นแค่เพียงเขา


วินาทีที่สบตากัน   อี้เอินเข้าใจทันทีว่าความคิดถึงฆ่าเขาได้ทั้งเป็นจริงๆ


::::::::::  MOONLIGHT ::::::::::


จินยองสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาในตอนเช้า   อาการปวดหัวเล่นงานเขาทันทีจนต้องเอามือบีบขมับเอาไว้   ร่างเล็กกลอกสายตาไปทั่วห้องนอนของตัวเองก็พบว่าทุกอย่างยังปกติดี  ยกเว้นแต่อาการเจ็บที่สะโพกซึ่งยากจะอธิบายได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น   เขาพยายามนึกเหตุการณ์ย้อนหลังแต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก  จำได้แค่ว่ากำลังเดินกลับห้อง  แต่มารู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว


“แปลก แฮะ  เหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง” จินยองพึมพำแล้วฝืนลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ  เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยสัมผัสที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้   รอยฟันเขี้ยวยังคงปรากฎให้เห็นจางๆ ที่ไหล่ขวา   ร่างเล็กตกใจจนแทบประคองตัวไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นสภาพร่างกายของตัวเองเต็มๆ ในกระจก


“นั่นอะไร” จินยองบ่นอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นโน้ตใบเล็กที่ถูกแปะไว้บนกระจก   ข้อความบนนั้นอ่านได้ว่า



‘จะกลับมา’



“เวรเอ้ย..”  เขาสบถแล้วกำกระดาษแผ่นเล็กทิ้งถังขยะทันที   ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน  อาจจะโดนหลอก  อาจจะเมา  อะไรก็ช่าง  จินยองจะถือว่าเป็นคราวซวยของตัวเองแล้วกัน   คิดได้ดังนั้นก็เดินไปอาบน้ำแล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตต่อราวกับไม่เคยเกิดอะไร ขึ้นเลย


นาฬิกาบนโลกมนุษย์ของปาร์คจินยองเดินถอยหลังอีกครั้ง



::::::::::  MOONLIGHT ::::::::::



“ฉันกำลังรีบไป  บอกบอสเลยโปรเจ็คนี้ลูกค้าชอบแน่  ฉันคิดทั้งคืนเลย  เจ๋งสุดๆ - ชิท! -  เดี๋ยวโทรกลับนะ”  จินยองเอาโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะหันมาทำตาขวางใส่คนที่เพิ่ง เดินชนเขาหมาดๆ   อเมริกาโน่ร้อนในมือหกรดเอกสารสำคัญของเอาไปมากกว่าครึ่ง   จินยองไม่มีเวลาแม้แต่จะมายืนด่า   ร่างเล็กรีบเก็บรวบรวมกระดาษในแฟ้มมาแล้วปัดๆ น้ำออก



หนึ่งร้อยปีต่อมา  ปาร์คจินยองกำลังรีบสุดชีวิตเพื่อไปทำงานให้ทัน  แต่กลับเจอเรื่องซวยเข้าจนได้


“ผ้าเช็ดหน้ามั้ยครับ” คนที่เป็นฝ่ายเดินชนกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าของอาร์มานี่ที่ปักตัวอักษร M ที่มุมขวามาให้


จินยองกระชากมันมาจากมือของชายหนุ่มด้วยแรงโทสะ  แล้วจึงซับๆ กระดาษเหล่านั้นอย่างตั้งใจ  ปากบางก็พร่ำบ่นไม่หยุด  “ซวยแท้ๆ  ซวยจริงๆ  ทำไมซวยแบบนี้วะปาร์คจินยอง”


“ผมมี ประชุมด่วน  นี่นามบัตรผม”  ชายหนุ่มยัดนามบัตรใส่มือของจินยองก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง   การกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้จินยองปรี๊ดแตก


“เฮ้ยไอ้หัวเทา  คิดจะชนแล้วหนีเหรอ!”


เจ้าของ ผ้าเช็ดหน้าหันมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง   ดวงตาคู่นั้นเย็นชาแต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างประหลาด  โครงหน้าดูดี  ผิวพรรณเปล่งประกายเหมือนแสงจันทร์ยามค่ำคืน   จินยองเผลอจ้องอีกฝ่ายนานเกินไปจนลืมคำพูดในหัวไปเสียหมด


“โทรมาแล้วกันนะครับ”


“ด..เดี๋ยวสิ”  กว่าจะรู้ตัวอีกฝ่ายก็เดินจากไปแล้ว  ร่างเพรียวจิ๊ปากก่อนจะก้มลงอ่านนามบัตร  “มาร์คต้วน   ชื่อคุ้นๆ แฮะ”















“บอสจะกินหัวมึงอยู่แล้ว  หายไปไหนมา!” แจ็คสันรีบวิ่งเข้ามาช่วยเขาถือของเมื่อเห็นว่าสัมภาระในมือของร่างเล็กเยอะขนาดไหน

 
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย  เริ่มพรีเซ้นท์ยัง?” เขาถามเสียงหอบ  เพราะเพิ่งวิ่งมาเหมือนกัน


“ยัง  บอสถ่วงเวลาให้มึงอยู่  รีบๆ เลย” แจ็คสันว่าแล้วรุนหลังเพื่อนเข้าไปในห้องประชุม


จินยองหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตูเข้าไป   วันนี้เป็นการพิชงานโปรเจ็คสำคัญของบริษัท   จินยองในฐานะมือหนึ่งจึงได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนำเสนอผลงาน   เขาก้มหัวกล่าวแนะนำตัว  ก่อนจะแจกรอยยิ้มไปทั่วทั้งห้อง   จนกระทั่งมาสะดุดที่ชายหนุ่มหน้าจีนที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ข้างเจ้านายเขา


ไม่ผิดแน่  คนเดียวกับเจ้าของผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าชัวร์


จินยองฝืนยิ้มแล้วทำหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติ  แม้จะรู้สึกประหลาดกับสายตามีนัยยะแฝงที่คุณมาร์คมองมาแต่ก็เลือกที่จะมอง ข้ามไป   เสียงปรบมือดังลั่นห้องทันทีที่เขาพรีเซ้นท์จบ   จินยองเป็นมืออาชีพมากพอที่จะทำงานได้ดีในทุกสถานการณ์


มาร์คเดินมาหาจินยองทันทีหลังจากเซ็นสัญญากับเจ้านายของเขาเรียบร้อยแล้ว  “ขอโทษด้วยสำหรับเรื่องมือเช้า  แต่เอกสารที่มีกลิ่นกาแฟก็ดีเหมือนกันนะ”


จินยองแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย  ปกติเขาจะเกรงใจลูกค้าทุกคน  แต่กับหมอนี่เขากลับแสดงร่างปาร์คจินยองเวอร์ชั่นปกติให้เห็น  “นี่ผ้าเช็ดหน้าคุณ  เอาคืนไป”


มาร์คยิ้มแล้วรับผ้าเช็ดหน้าคืนมา  ปลายนิ้วของเขาจงใจสัมผัสกับมือของจินยองจนร่างเล็กสะดุ้งรีบชักมือกลับ  มาร์คปรายตามองพนักงานคนอื่นในห้องที่กำลังแอบมองพวกเขาอย่างสนใจแล้วจึงหัน กลับมาที่จินยองอีกครั้ง  “ไปทานข้าวกันนะครับ  ผมอยากเลี้ยงขอโทษเรื่องเมื่อเช้า”


“ผมไม่ว่าง”  เขารีบบอกปัดโดยเร็ว


“งั้นเย็นนี้ล่ะ”


“ก็ไม่ว่างอีกนั่นแหละ”


“พรุ่งนี้?”


“ไม่ว่างเหมือนกัน”


“มะรืน?”


“ไม่ว่าง”


“แล้วเมื่อไหร่จะว่าง”


“ไม่ว่าง!  เมื่อไหร่ก็ไม่ว่าง  ไม่ต้องเสียเวลารอหรอกครับ!”


มาร์คนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนวาดรอยยิ้มที่ทำให้ใจคนมองกระตุก  “ไม่เป็นไรครับผมรอได้”


             เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้จินยองมากขึ้น  มือเรียวเกี่ยวปอยผมที่ร่วงลงมาปรกหน้าขึ้นไปทัดหู   นัยน์ตาของชายหนุ่มทอประกายเจิดจ้าเหมือนพระจันทร์ในคืนเดือนหงาย   ริมฝีปากอิ่มเลื่อนไปแนบชิดใบหูแล้วกระซิบถ้อยคำที่มีเพียงคนสองคนที่ เข้าใจ  “ผมรอจินยองมาร้อยปีแล้ว  รออีกนิดจะเป็นอะไรไป”



จินยองมองหน้ามาร์คอย่างไม่เข้าใจ  แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม   กล่าวเพียงว่าดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งแล้วเดินจากไป   จินยองยืนงงอยู่ชั่วครู่ก็รีบวิ่งตามไป   ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ากำลังทำอะไร  เขารู้สึกว่าร่างกายกำลังเสียการควบคุม


“คุณมาร์ค  คุณ!  เดี๋ยวก่อนครับ”  มาร์คหันมามองแล้วเลิกคิ้วแทนการตั้งคำถาม   จินยองหน้าแดงระเรื่อ  หัวใจเต้นเร็วจนกลัวว่ามันจะวายเอา  “เอ่อ  เย็นนี้จริงๆ ก็พอว่างนะ”


มาร์คยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วพยักหน้ารับรู้   เขาแบมือขอโทรศัพท์ของจินยองเพื่อเอาไปเมมเบอร์ของตัวเองให้


“ต้วนอี้เอิน? ทำไมล่ะ”


 “เพราะผมเป็นอี้เอินของคุณเสมอไงครับ  ไม่ว่าจะชาตินี้  ชาติหน้า  หรือชาติไหนๆ” มาร์คเกี่ยวปอยผมที่ตกลงมาขึ้นไปทัดหูให้จินยองอีกครั้ง   เขายิ้มให้จินยองทั้งตาและปาก  “ฉันกลับมาแล้วนะ  จะไม่ทิ้งนายไปไหนอีกแล้ว”


แสงตะวันยามบ่ายส่องลอดกระจกเข้ามาในห้อง  เงาของทั้งสองคนทอดเคียงกันเฉกเช่นเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว
เงาที่แสงจันทร์ไม่อาจพรากพวกเขาจากกันได้อีก...











FIN .
#ฟิคอลจ

June 18, 2015

MarkJin | Hot Shorts


 Title :: HOT SHORTS
Author :: AliceJay
Genre :: R
Pairing :: Mark / Jinyoung














จินยองเงยหน้าขึ้น



สิ่งแรกที่เขาเห็นคือหน้าจอโทรศัพท์ที่โชว์รูปจากนิตยสาร Singles ที่เขาเพิ่งถ่ายไป  เป็นรูปที่เขานั่งชันเข่าวางเท้าบนสเก็ตบอร์ด  สองมือประสานอยู่ตรงหว่างขา  จินยองเงยหน้าสูงอีกนิดเพื่อสบตากับเจ้าของโทรศัพท์



“อะไร”



“นั่นคำถามฉัน” มาร์คตอบเสียงห้วนแล้วยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋าหลังกางเกงยีนส์ตัวเองลวกๆ  ใบหน้าหล่อเหลาดูไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด



จินยองปิดหนังสือที่อ่านค้างอยู่ลง  ลองมาร์คมาอีหรอบนี้เขาคงไม่ได้อ่านหนังสือต่ออย่างสงบแน่ๆ  ร่างเพรียวพยายามใจเย็นแล้วเอ่ยถามพี่ใหญ่ของวงอีกครั้ง  “พี่เป็นอะไร”



“เป็นบ้า” มาร์คตอบตรงคำถามแต่ไม่ให้ความกระจ่างใดๆ เพิ่มเติม  จินยองพรูลมหายใจออกอย่างนึกหน่าย  เขายันตัวขึ้นจากฟูกนอนเพื่อจะเลี่ยงออกไปข้างนอก  แต่โดนมือของอีกคนกดบ่าให้นั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิมอีกครั้ง



จินยองจิ๊ปาก  เริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาบ้าง  “เป็นอะไรก็บอกสิ!”



มาร์คนั่งลงตรงหน้า  ดวงตากลมฉุนเฉียวไม่หยอก  “กางเกงนี่ต้องใส่สั้นแบบนี้เลยเหรอ”



คนโดนโกรธเริ่มปะติดปะต่อสาเหตุที่พี่ใหญ่ของวงอารมณ์เสียขึ้นมาได้แล้ว  เขากลอกตาอย่างเหนื่อยใจกับอาการหวงไม่เข้าเรื่องของอีกคน  “ก็เป็นแฟชั่น  เขาจัดให้ใส่แบบไหนก็ต้องใส่แบบนั้นแหละ”



“โป๊”



“ไม่เห็นจะโป๊เลย”



“เห็นขาอ่อนขนาดนี้ยังไม่โป๊อีกเหรอ” มาร์คหยิบมือถือขึ้นมาแล้วจ่อรูปดังกล่าวให้จินยองดูชัดๆ อีกครั้ง  “ตอนถ่ายนี่โดนมองไปถึงไหนต่อไหนแล้วมั้งเนี่ย  ให้ตายจินยอง  ถ้าพี่รู้ว่ามันจะขนาดนี้คราวหน้าจะบินกลับมาคุมเองเลย”



 มาร์คไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองกำลังแสดงพฤติกรรมอะไรออกมา  ปกติพี่ใหญ่เป็นคนใจเย็นเสมอ  ยังไงก็ได้ตามสบายไม่ขัดขืน  นี่เขาก็เพิ่งเคยเห็นมาร์คบ่นไม่หยุดแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน  เลยอดไม่ได้ที่จะกระเซ้ากลับ  “พี่ทำเหมือนพี่หึงผมเลยนะ”



มาร์คเงยหน้าจากหน้าจอที่กำลังซูมเข้าซูมออกเพื่อเช็คว่ามีมุมอันตรายเล็ดลอดมาให้เห็นหรือเปล่า  ร่างโปร่งชะงักไปเล็กน้อยแล้วว่า  “เฮ้ยเปล่า”



จินยองเริ่มขำกับท่าทีของมาร์คขึ้นมาเล็กน้อย  “จริงอ่ะ  ไม่หึงจริงเหรอ”



“ไม่ได้หึง” มาร์คย้ำชัดถ้อยชัดคำ  ดวงตาคมกริบจริงจังเสียจนคนมองเผลอใจสั่น  “ที่ทำอยู่เขาเรียกหวง”



คนที่นั่งอยู่บนฟูกรู้สึกว่าเลือดลมชักจะเดินดีผิดปกติ  ร่างกายของเขาร้อนผ่าวไปหมด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ใบหน้าซึ่งดูจะร้อนเป็นพิเศษ  จินยองขยับตัวอย่างอึดอัด  มือไม้เก้งก้างจนไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดี  ครั้นจะลุกหนีก็โดนมาร์คฉุดให้นั่งกับที่ไว้อีกรอบ



คนเป็นพี่วางโทรศัพท์ไว้บนพื้น  สองมือเอื้อมมากุมมือของจินยอง  ใช้นิ้วโป้งไล้ไปมาพลางเอ่ยขอ  “ไม่ใส่ขาสั้นอีกแล้วได้ไหม”



“เลือกได้ที่ไหน  เขาให้ใส่อะไรก็ต้องใส่แหละ” น้ำเสียงของจินยองก็อ่อนลงเช่นกัน  เขาปล่อยให้มาร์คลูบมือตัวเองไปแบบนั้นโดยไม่ได้สังเกตถึงวิธีการสัมผัสที่เปลี่ยนไปของอีกคนเลยสักนิด



“โอเค  ถ้าเป็นเรื่องงานพี่ไม่ว่า  แต่ถ้าปกติไม่ใส่ขาสั้นได้หรือเปล่า”



จินยองเถียงกลับ  “แต่นี่มันหน้าร้อนนะพี่มาร์ค  ให้ใส่ขายาวอย่างเดียวก็ไม่ไหวนะ”



“เชื่อสิ นายใส่ขาสั้นไม่ได้หรอก”



จินยองเลิกคิ้ว  “ทำไมจะใส่ไม่ได้”



มาร์คเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  ไม่ยอมตอบคำถามแต่กลับผลักจินยองให้นอนลงกับฟูกก่อนจะปล้ำถอดกางเกงของเขาออกอย่างทุลักทุเลจนเหลือเพียงบ็อกเซอร์ตัวจิ๋ว



จินยองโวยวายเสียงดังลั่นพลางขยับหนีจนแผ่นหลังติดกำแพง  เขาชันเข่าขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองพลางชี้หน้าอีกฝ่ายไปด้วย  “ออกไปเลย  อย่าเข้ามานะพี่บ้า”



ปาร์คจินยองไม่ใช่คนโง่  ฉายามนุษย์ 19+ ที่ได้รับมาก็ใช่จะเป็นเพียงคำพูดลอยๆ  เขารู้ดีว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น  แต่เขาจะไม่ยอมไอ้พี่บ้านี่เด็ดขาด  เรื่องอะไรจะปล่อยให้มาร์คใช้โอกาสนี้มาหากำไรจากเขากันเล่า



“อย่าาาา” จินยองดันหัวมาร์คที่กำลังคลานเข่าเข้ามาหาอย่างเต็มกำลังจนมาร์คกลิ้งล้มไปบนฟูก  ดีใจได้แค่สองวินาทีข้อเท้าของตัวเองก็ถูกกระชากอย่างแรง  ร่างของจินยองไถลลงมาจนตอนนี้ตัวเองอยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอน พี่ใหญ่ตัวร้ายพลิกตัวขึ้นมาคร่อมจินยองได้อย่างรวดเร็ว  ชำนิชำนาญเสียจนคนโดนกระทำได้แต่ค่อนขอดอยู่ในใจ  ข้อมือสองข้างของจินยองถูกยึดไว้ด้วยมือของคนข้างบน  ริมฝีปากร้อนประกบซ้ำลงมาโดยไม่เปิดโอกาสให้น้องน้อยได้อุทธรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น 


             มาร์คเริ่มต้นอธิบายคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมจินยองถึงใส่ขาสั้นไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม



พวกเขาจูบกันอยู่แบบนั้นจนหายใจไม่ทันทั้งคู่  มาร์คปล่อยให้ข้อมือของจินยองเป็นอิสระแล้วมอบจุมพิตร้อนแรงให้คนรักอีกครั้ง  แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมชาติ  มือบางของจินยองโอบรัดคนที่กำลังเอาเปรียบตัวเองไว้เสียแน่น  เล็บคมจิกลงที่เนื้อผ้าของอีกฝ่ายอย่างจงใจ  แต่กระนั้นมาร์คก็ยังไม่หยุดเกมนี้เสียที  ซ้ำยังแก้แค้นด้วยการงับแรงๆ ที่กลีบปากนุ่มจนจินยองได้รสฝาดเฝื่อนของเลือด



มืออีกข้างของมาร์คเลื่อนลงไปปลุกปั่นอารมณ์ของคนใต้อาณัติ  จินยองครางครึมในลำคอ  ไม่อยากยอมรับว่าพอใจแต่ก็ปฏิเสธสิ่งที่ร่างกายเผลอตอบสนองออกมาไม่ได้เลย  มาร์คถอนจูบออกก่อนจะย้ำหนักๆ ที่มุมปาก 



“พรุ่งนี้ทำงาน อย่าทิ้งรอยไว้นะ” ปาร์คจินยองตอนนี้ไร้การขัดขืนอย่างสมบูรณ์แบบ  เด็กหนุ่มปล่อยให้คนเป็นพี่เล่นสนุกกับร่างกายตัวเองได้ตามใจชอบ  โดยมีเงื่อนไขเดียวที่พวกเขาต่างรู้ดี  ซึ่งที่ผ่านมามาร์คก็ไม่เคยขัดบัญชาเลยสักครั้ง



ยกเว้นหนนี้แล้วกันนะ



“พี่มาร์ค!” จินยองร้องเสียงหลงเมื่อมาร์คงับแรงๆ ที่โคนขาด้านในก่อนจะออกแรงขบเม้มจนเกิดเป็นรอยแดงประปราย  “บอกว่าห้ามทำรอยไง”



“ตรงนี้ไม่มีใครเห็นหรอก” มาร์คเถียง  สายตาเจ้าเล่ห์ขึ้นมาฉับพลัน  “ยกเว้นแต่จินยองจะใส่ขาสั้นไปอวดใครเขาอีก”



แล้วก็ถึงบางอ้อเมื่อมาร์คเฉลยจุดประสงค์ที่แท้จริงของตัวเองออกมาเสียหมดเปลือก  จินยองกลอกตาอย่างอ่อนใจแล้วปล่อยให้คนรักสลักความเป็นเจ้าของบนตัวเขาได้เต็มที่  ร่างเพรียวครางอือทุกครั้งที่ลิ้นร้อนลากผ่านเนื้อผ้าบางอย่างจงใจแกล้งให้เขาอยากแล้วก็จากไป  ความเสียวซ่านเพราะสัมผัสที่มาร์คบรรจงฝังไว้ที่ต้นขายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนจินยองต้องเอื้อมมือไปจิกผมของอีกคนเพื่อระบายความอัดอั้นที่เกิดขึ้น



บ็อกเซอร์ตัวเก่งถูกถอดออกเมื่อเกมจริงกำลังจะเริ่ม  มาร์คเค้นคลึงที่ส่วนปลายจนจินยองเผลอบิดเอวตามสัมผัส    คุณนายแบบกำลังมีอารมณ์ร่วมด้วยเต็มที่  ดวงตากลมฉ่ำหวานปรือปรอยเสียจนคนมองยากจะควบคุมตัวเองอีกต่อไป  มาร์คจับจินยองให้นั่งชิดกำแพง  จัดท่าทางไม่ต่างไปจากรูปที่เขาถ่ายให้ซิงเกิลส์เลยสักนิด



“จะทำอะไร” จินยองถามเสียงอ่อนเมื่อเหลือบไปเห็นคนรักที่หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเขารัวๆ  มือเล็กพยายามคว้าโทรศัพท์มาลบรูปตัวเองออกแต่ช้ากว่ามาร์คไปเพียงเสี้ยววิ  ร่างโปร่งไสอุปกรณ์สื่อสารของตัวเองไปไกลจนยากจะเอื้อมถึงแล้ว



“ลบออกเดี๋ยวนี้นะ  อันตราย!”



“ลบทำไม มุมนี้นายเซ็กซี่ออก”



“พี่มาร์ค!”



“จ๋า”



จินยองอยากจะตบหน้ามาร์คแรงๆ สักทีข้อหากะล่อนไม่เข้าเรื่อง  แต่ถ้อยคำผรุสวาททั้งหลายก็ถูกกลืนลงไปเมื่อมาร์คเริ่มสอดนิ้วเข้าไปด้านหลัง  ร่างเพรียวครางอือ  ไม่เคยชินสักทีแม้ว่าจะผ่านเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน  เขารั้งมาร์คมากอดจูบอีกครั้งพลางปล่อยให้นิ้วเรียวของอีกคนทำหน้าที่ของตัวเองไป  อาจเป็นเพราะจินยองนั่งอยู่มันก็เลยเข้ามาได้ไม่ลึกเท่าที่ควร  เขาค่อยๆ เลื้อยตัวให้นอนราบไปกับฟูกเพื่อให้มาร์คสะดวกขึ้นอีกนิด  ก่อนจะเสียงหวานจะครางหวิวออกมาเมื่อปลายนิ้วกลางของคนขี้หึงสะกิดโดนบางอย่างในร่างกาย



มาร์คเหลือบตามองคนที่นอนหายใจติดขัดแล้วก็ยิ้มมุมปากส่งมาให้   มือหยาบล้วงเข้าไปในเสื้อยืดตัวบางแล้วฟอนเฟ้นไปทั่วทั้งร่าง  จินยองหายใจหนักขึ้นกว่าเดิมพลางขยับสะโพกสอดรับกับจังหวะนิ้วของพี่ใหญ่



“ใจร้อนนะเราน่ะ” มาร์คอมยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ย  ไม่บ่อยนักที่จินยองจะมีอารมณ์ร่วมมากขนาดนี้แม้จะไม่ได้เล้าโลมมากอย่างที่ควร



“ฮื้อ พอได้แล้ว  มันส..เสียว” มือน้อยของน้องตะปบเข้าที่มือข้างหนึ่งของร่างโปร่งที่กำลังสะกิดตุ่มไตด้านบน  ยิ่งเห็นแบบนี้มาร์คก็ยิ่งอยากแกล้ง  ชายหนุ่มก้มตัวลงไปงับส่วนที่จินยองปัดป้อง  แม้จะมีเนื้อผ้ากั้นอยู่แต่ก็เรียกเสียงครางหนักจากคนข้างใต้ได้ไม่น้อย  มาร์คดึงนิ้วออก  จัดแจงถอดเสื้อผ้าที่เหลือของจินยองออกทั้งหมดก่อนจะจัดการกับตัวเองบ้าง



มาร์คจับเขาพลิกตัวคว่ำในท่าคุกเข่า  ริมฝีปากร้อนจูบประทับที่เนินเนื้ออิ่มทั้งซ้ายขวา  แม้การกระทำหลายๆ อย่างจะดูเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ  แต่มาร์คก็มีมุมอ่อนโอนให้จินยองเผลอใจสั่นอยู่เสมอ



“พร้อมมั้ยที่รัก”



จินยองกัดปาก “ไม่  อ๊ะ”



มาร์คไม่ได้รอฟังคำตอบ  คนขี้แกล้งแทรกตัวเข้ามาทันทีจนจินยองจุกไม่หยอก 



“อย่าเพิ่งขยับนะ” เขาร้องบอก  ความเจ็บแล่นริ้วไปตามไขสันหลัง  จินยองหายใจเข้าลึกๆ พยายามไม่เกร็งเพราะรู้ว่าคนรักก็โดนบีบรัดหนักหน่วงไม่ต่างกัน  เขาได้ยินเสียงสูดปากเบาๆ จากอีกฝ่ายเมื่อเริ่มขยับตัวหลังจากผ่านชั่วครู่   จินยองจิกผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ตามแรงอารมณ์ที่ถูกโหมให้สูงขึ้น  มาร์คเคลื่อนไหวเชื่องช้า  แต่ลึก  และแรงเสียจนเผลอร้องเสียงหลงออกมาทุกครั้ง



“เลิกแกล้งได้แล้ว” จินยองพูดเสียงสั่น  ปกติมาร์คเป็นพวกเปิดเกมเร็ว  ครั้นจะมาพิถีพิถันแบบตอนนี้พูดเลยว่าหาได้ยาก  มีแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นแหละที่ร่างโปร่งจงใจทรมานเขาเล่นแบบนี้



“ขาจินยองเป็นรอยเต็มเลยอ่ะ  งี้ก็ใส่ขาสั้นไม่ได้แล้วสิ” ผิดเสียที่ไหน  ไอ้ผู้ชายกะล่อน



“เออ ไม่ใส่ก็ไม่ใส่” เขาว่าอย่างจำนน



“เด็กดี  งั้นหลังจากนี้พี่คงต้องเช็คบ่อยๆ ว่ารอยจางลงหรือยัง  ถ้าจางแล้วก็เติมใหม่เนอะ”



“ไอ้--  อ๊าา” ยังไม่ทันที่จินยองจะได้ด่ามาร์คก็จงใจกระแทกตัวเข้ามารุนแรงจนเรียวขาของเขาสั่นระริก



มาร์คถอนตัวออกอีกครั้ง  จัดแจงให้จินยองลงไปนอนหงายแล้วตามมาบดจูบ  มือเรียวก็ปรนเปรออีกคนไปด้วยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง  รู้ตัวอีกทีตัวตนของมาร์คก็เข้ามาอยู่ในตัวเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว  สองมือประคองขาของจินยองเอาไว้ก่อนจะปรับจังหวะให้เร็วขึ้น



ร่างกายของจินยองโยกคลอน  เสียงหวานร่ำร้องไม่เป็นภาษา  ในฐานะผู้ชายด้วยกันแม้ไม่อยากจะยอมรับแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามาร์คเก่งมาก  ชายหนุ่มเหวี่ยงอารมณ์เขาให้ขึ้นลงเหมือนเล่นรถไฟเหาะ  มีจังหวะดำดิ่ง  เสียววูบ  ล่องลอย  และหวาดหวั่น  แต่รวมๆ แล้วทั้งหมดล้วนทำให้เขาแทบขาดใจตายด้วยความเป็นสุข



“อ่า...” มาร์คครางต่ำในขณะที่ปลดปล่อยออกมา  ส่วนจินยองน่ะตีตั๋วล่วงหน้าไปสักพักแล้ว  ชายหนุ่มถอนตัวออกแล้วเอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดทำความสะอาดให้เขาที่นอนหมดแรงอยู่  ไร้แม้แต่แรงจะปัดป้องเมื่อมาร์คเริ่มทำรอยคิสมาร์คซ้ำที่จุดเดิมอีกครั้ง



“เอาล่ะ  แค่นี้ก็ใส่ขาสั้นไม่ได้แล้ว” ชายหนุ่มยิ้มอย่างมีความสุขแล้วโถมตัวมากอดจินยองเอาไว้แน่น



ร่างเพรียวขยับตัวอีกอย่างอึดอัดแต่ก็สู้แรงลูกลิงต้วนไม่ได้เลยยอมปล่อยเลยตามเลยไปแบบนั้น



และเมื่อมือไม้ของมาร์คเริ่มจะอยู่ไม่สุข  จินยองก็รู้ดีว่าคืนนี้ของเขายังอีกยาวไกลนัก






END.







______ Let's TALK!

ใครต้านทานจินยองใน Singles ไหวก็ไม่ใช่คน(หื่น)ค่ะ
ไม่มีเนื้อเรื่องใดๆ ทั้งนั้น แต่จุดๆ นี้ชีวิตก็ไม่ต้องการอย่างอื่นแล้วค่ะ (นังอลจ....)
คุยกันใน #ฟิคอลจ ค่า




อลจ.
150618

June 09, 2015

BSON | Like A Fool





Title :: Like A Fool
Author :: AliceJay
Genre :: Romantic/Drama
Pairing :: Jaebum/Jackson
Theme song ::  Like A Fool - Keira Knightley









We take a chance from time to time
And put our necks out on the line
And you have broken every promise that we made




ผมคิดว่าผมกำลังจะเป็นบ้า
‘หวังเจียเอ๋อ’ ยืนอยู่ตรงหน้าผม  ไร้ข้อแก้ตัว
มีเพียงใบหน้าเรียบเฉยที่ระยะหลังผมเริ่มจะคุ้นเคย
เฉยชา
ว่างเปล่าเสียจนมองแล้วหัวใจกระตุก




มันไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องขอโทษ
และมันก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องให้อภัย




เราต่างพลาดพลั้งด้วยกันทั้งคู่
ความผิดครึ่งหนึ่งเป็นของเขา  ความผิดอีกครึ่งเป็นของผม
สัญญาที่เคยให้กันไว้พังลงราบคาบเมื่อความเหงาออกฤทธิ์ร้ายแรงกว่าที่คิดไว้
เราห่างกันเพราะผมไม่มีเวลาให้




เขาเบื่อ
เขาจึงแก้เบื่อด้วยการคุยกับใครอีกคน




“พี่เสียใจ”
“ผมก็เสียใจ”
“เหรอ? ทำไมเมื่อกี้ยังเห็นยิ้มหน้าระรื่นอยู่เลยล่ะ?”
“ผมเสียใจที่คนที่ควรจะทำให้ผมยิ้มแบบเมื่อกี้ไม่ใช่พี่  พี่หายไปจากชีวิตผมแล้ว  หายไปนานเหลือเกิน”
“ก็งานยุ่ง”
“ผมรู้  ผมถึงแก้ปัญหาด้วยวิธีของผมเองไงครับ  เพราะไม่ว่าผมจะเรียกร้องจากพี่มากเท่าไร  พี่ก็ไม่เคยสนใจผมมากกว่าเดิมสักที”




สถานะของเรากำลังอยู่ในจุดเปราะบาง
เขาพร้อมจะไป  น้ำเสียงของเขาบอกผมทุกอย่าง
แต่เขาก็พร้อมจะอยู่  ดวงตาของเขาไม่เคยโกหก
มันก็แค่ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในจุดหนึ่งของความสัมพันธ์



And I have loved you anyway



แต่เรายังรักกัน
ผมยังรักเขา
นั่นแหละประเด็น












Took a fine time to leave me hangin' out to dry
Understand now I'm greivin'
So don't you waste my time
Cause you have taken
All the wind out from my sails



ผมเพิ่งรู้ว่าผมสามารถโกรธจนตบหน้าใครสักคนได้ก็วันนี้
‘อิมแจบอม’ ยืนอยู่ตรงหน้าผม  ไร้ข้อแก้ตัว
มีเพียงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิดที่พักหลังเห็นจนชินตา



เขาผิดนัดผมเป็นรอบที่ร้อย  เหตุผลก็เดิมๆ
ไม่ว่าง ประชุมอยู่ ต้องไปหาลูกค้า มีเอกสารต้องอ่าน
ผมพยายามจะไม่งี่เง่า  รู้ว่าเขาต้องสร้างอนาคต
ชีวิตชนชั้นกลางมีทางเลือกไม่มากนัก  เงินไม่สามารถเสกขึ้นมาได้จากอากาศ
เขาทำงานหนักเพื่อให้เราสบาย



พี่แจบอมไม่รู้  ไม่เคยรู้
ผมไม่เคยต้องการอะไรมากไปกว่าการได้ใช้เวลาร่วมกับเขาบ้าง



“ผมรอพี่อยู่สี่ชั่วโมง”
“มีงานด่วนที่เข้ามาพอดี  เข้าใจหน่อย”
“พี่ควรจะโทรบอกผมบ้าง  ไม่ใช่ปล่อยให้ผมยืนโง่อย่างไร้จุดหมายกับตั๋วหนังสองใบและป๊อปคอร์นรสชาติที่ผมไม่ชอบ”
“แล้วซื้อมาทำไม”
“เพราะผมรู้ว่าพี่ชอบ  และผมก็ชอบพี่มาก  แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าแค่ชอบอย่างเดียวมันพอไหม”
“เจียเอ๋อ”
“ผมเหนื่อยแล้ว  เราควรห่างกันไหม”
“….”
“นะ”



And I have loved you just the same




ผมจากมา
ความรักคืออะไรผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก
รู้แค่ว่ามันกำลังทำร้ายเราทั้งคู่
โกรธ เกลียด เสียใจ
แต่ผมไม่เคยรักเขาน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว










We finally find this
Then you're gone
Been chasin' rainbows all along




ผมยังเป็นผม
อิมแจบอมมนุษย์บ้างานที่หวังเจียเอ๋อแสนชิงชัง
ต่างจากเดิมหน่อยตรงที่ผมลาออกจากงานแล้ว  ตอนนี้กำลังเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง
ล้มลุกคุกคลานจนในที่สุดก็ตั้งตัวได้




ผมมีเวลา
แต่ผมไม่มีเจียเอ๋ออีกต่อไป
บ่อยครั้งที่เผลอโทรไปหา  เจียเอ๋อก็ตัดสายทิ้งทุกครั้ง




เพิ่งเข้าใจว่าการอยากเจอใครสักคนแต่เขาไม่มาให้เจอมันรู้สึกอย่างไร
เพิ่งเข้าใจว่าความเหงามีผลแค่ไหนต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวัน
มีคนมากมายรายล้อม  แต่ก็ยังเหงาอยู่ดี




หวังเจียเอ๋อจากไปแล้ว
ผมไม่มีความสุข
เพราะหวังเจียเอ๋อนั่นแหละคือความสุข




And you have cursed me
When there's no one left to blame
And I have loved you just the same




ผมอึดอัด
แฟนใหม่ผมมีเวลาให้ผมยี่สิบสี่ชั่วโมง  เจ็ดวันต่อสัปดาห์
เขาเป็นลูกคนรวย  อยากได้อะไรแค่เปรยเล็กน้อยก็ได้
ซึ่งบางทีก็แค่อยากได้  แต่ไม่อยากซื้อสักหน่อย
เขาทำให้ผมอึดอัด




แต่เขาเป็นคนดี
ดีมากๆ
ดีชนิดที่พี่แจบอมเทียบไม่ติด
พี่มาร์คเป็นนิยามของคำว่าเพอร์เฟ็ค
และเพราะเขาดีเกินไปนี่แหละผมจึงเจ็บปวด
เจ็บปวดที่ความดีไม่อาจทำให้ผมรักเขาได้มากเท่าอีกคน




เสียงริงโทนที่ตั้งไว้เฉพาะคนใจร้ายดังขึ้นเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่แน่ใจนัก
ขณะนี้เป็นเวลาตีสองนิดๆ  ปกติพี่แจบอมไม่เคยโทรมาเวลานี้หรอก  นั่นทำให้ผมอดเป็นกังวลไม่ได้
เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า  เกิดอะไรขึ้นหรือ
ตลอดปีกว่าที่เราไม่ได้คุยกันมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ผมกัดปาก  มองหน้าจอมือถืออย่างชั่งใจ
สุดท้ายก็พ่ายแพ้หัวใจตัวเองอยู่ดี




“ฮัลโหล”
(“เจียเอ๋อ”)
“เมาเหรอ”
(“อืม  คิดถึงด้วย”)
“…”
(“ไม่คิดถึงกันบ้างเหรอ  พี่คิดถึงเจียเอ๋อจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”)
“พูดช้าไปหรือเปล่า  ตอนมีโอกาสให้พูดทำไมไม่พูดล่ะ”
(“เคยคิดว่าตัวเองฉลาด  จริงๆ แล้วโง่เอง”)
“…”
(“กลับมาได้ไหม”)
“ผมมีแฟนใหม่แล้ว”
(“กลับมาเถอะนะ”)
“…”
(“นะ”)
“ทำไมผมต้องกลับไป  พี่ใจร้ายกับผมขนาดนั้นผมไม่ลืมหรอกนะ”
(“ถ้าเจียเอ๋อไม่รักพี่แล้ว  เจียเอ๋อคงไม่ยอมรับโทรศัพท์พี่”)
“คิดไปเอง”
(“แล้วคิดถูกไหม”)




And you have broken every single fucking rule



“อืม”





And I have loved you like a fool.








FIN.