June 21, 2015

MarkNior | Moonlight

Title :: MOONLIGHT

Author :: AliceJay

Category :: AU

Pairing :: Mark/Jinyoung

 





MOONLIGHT .






















มาร์คผลักจินยองลงบนเตียงก่อนจะตามมาประกบจูบอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ขาดตอน  ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและรุนแรงจนคนใต้อาณัติแทบจะหลอมละลาย ประหนึ่งตัวเองเป็นขี้ผึ้งยามโดนไฟลน


ไม่มีบทสนทนาอื่นนอกเสียจากเสียงครางอย่างสุขสมและผิวเนื้อยามสัมผัสกัน   จินยองจิกมือของตัวเองลงบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าของชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกัน เมื่อสิบห้านาทีก่อนจนเลือดซิบ   ความเสียวแล่นไปตามไขกระดูกสันหลังทุกครั้งที่มาร์คขยับตัว  ผิวหน้าร้อนเห่อราวกับจะลุกเป็นไฟยามที่ริมฝีปากอิ่มลากผ่านก่อนจะหยุดหยอก ล้อกับใบหูที่เป็นจุดไวสัมผัสของร่างกาย


มาร์ครู้จักทุกอณูในร่างกายของจินยองเป็นอย่างดีราวกับว่าเคยร่วมรักกันมานับ ครั้งไม่ถ้วน  ทั้งๆ ที่นี่เพิ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอหน้ากันด้วยซ้ำ   ถ้าไม่ใช่เพลย์บอยผู้ช่ำชองก็อาจจะเป็นปีศาจสักตัวที่สามารถอ่านใจได้ว่าตอน นี้เขากำลังคิดหรือรู้สึกอะไร


หลังจากผ่านครึ่งชั่วโมงแรก  จินยองตัดสินใจให้มาร์คเป็นปีศาจ


เขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน   ย้อนไปเกือบหนึ่งชั่วโมงที่แล้วจินยองกำลังเดินกลับหอเพียงลำพัง  แล้วจู่ๆ ผู้ชายคนนี้ก็ปรากฎตัวขึ้นต่อหน้า   ใบหน้าหล่อเหลาดั่งรูปสลักนิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จนเขานึกกลัว   แต่ทั้งๆ ที่ใจสั่งให้เขาเดินเลี่ยงออกไป  แต่ขาทั้งสองข้างกลับไม่ยอมขยับไปไหน   ราวกับร่างกายของเขาถูกตรึงไว้โดยสายตาคมสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นเรียบร้อยแล้ว


“ต้องการอะไร”


“สวัสดี ปาร์คจินยอง  จำฉันไม่ได้ล่ะสิ” ผู้ชายคนนั้นพูดพลางขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้น  ผมสีควันบุหรี่ของเขาโดดเด่นตัดกับท้องฟ้าที่ไร้แสงดาว  อับกูจองไม่เคยร้างคนแม้ในยามราตรี  แต่ตอนนี้กลับไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นใดโผล่มาเข้ามาให้เห็นในรัศมี ร้อยเมตรนี้เลย  “เรียกฉันว่ามาร์คแล้วกัน”


จินยองรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนดูดให้เข้าใกล้ชายหนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ   เขาพยายามประคองสติ  พยายามบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่านี่มันแปลกนะ  แต่รู้ตัวอีกทีเขาก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของคนตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว   ไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืนยามที่อีกฝ่ายก้มลงมากระซิบ ‘ขออนุญาต’ ที่ข้างหูด้วยซ้ำ   จินยองไม่ได้ใสซื่อจนไม่รู้ว่าสิ่งที่มาร์คบอกหมายความว่าอย่างไร   แต่เขาก็ยังยอมให้อีกฝ่ายจับจูงมาจนถึงห้องพักใกล้ๆ


แล้วเกมรักก็เริ่มต้นขึ้น


ทันทีที่ประตูปิด  มาร์คก็ผลักเขาติดกำแพง   แววตาของมาร์ควูบไหวยามที่มองมายังเขา   นี่เป็นครั้งแรกที่จินยองสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้ายังมีความรู้สึกอยู่   ร่างโปร่งขยับเข้ามาใกล้แล้วเอาหน้าผากของตนแนบกับหน้าผากของเขา    จินยองใจเต้นไม่เป็นส่ำกับความอ่อนโยนที่เกิดขึ้นในฉับพลัน  ไอร้อนจากลมหายใจปะทะเข้ากับใบหน้าหวานจนเขารู้สึกขัดเขิน


“ฉันรอมาร้อยปีเพื่อจะได้พบนายอีกครั้ง” เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบา นัยน์ตาคู่สวยปิดลงเหมือนกำลังจ่อมจมไปกับความทรงจำของตัวเองก่อนจะลืมตา ขึ้นมาอีกครั้ง  ความเยียบเย็นที่เขาเห็นในตอนแรกหายไปแล้ว  ตอนนี้จินยองเห็นแต่ความปรารถนาลุกโชนในจักษุคู่นั้น  “อยู่กับฉันจนกว่าแสงจันทร์จะหายไป”


จินยองไม่มีเวลาทำความเข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนัก  เพราะทันทีที่มาร์คพูดจบ  ริมฝีปากของเขาก็ถูกครอบครองทันที  ข้อมือบางทั้งสองข้างถูกตรึงติดกำแพง  ความหวาบหวามกำลังเล่นงานเสียจนเขาเข่าอ่อน   มาร์คยอมปล่อยมือขวาของเขาให้เป็นอิสระเพื่อมาโอบเอวบางเอาไว้ไม่ให้ทรุดไป เสียก่อน  พร้อมๆ กับเปิดโอกาสให้จินยองได้กำเสื้อเชิ้ตของเขาเป็นที่ยึดเกาะอีกแรง


มาร์คจูบเก่งมาก
มากชนิดที่ทำให้จินยองอยากจะบ้าตายอยู่ตรงนั้น


เรียวลิ้นของมาร์คสอดเข้ามาในโพรงปากของเขา  ก่อนจะทำหน้าที่เหมือนยานอวกาศที่ลงสำรวจพื้นผิวของดวงจันทร์  มันลัดเลาะไปทั่วแนวฟันทั้งบนและล่าง  เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขา  ดูดดึง  เกี่ยวพัน  ชักจูง  ฟันคมขบเม้มที่ริมฝีปากอิ่มจนได้รสเลือดจางๆ  เสียงเฉอะแฉะของน้ำลายฟังดูหยาบโลน  แต่วินาทีนี้ใครจะสน  มาร์คถอนจูบออกโดยมีน้ำลายที่ไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครยังเชื่อมริมฝีปาก ของพวกเขาอยู่  ปล่อยให้จินยองหายใจได้ไม่เกินห้าวินาทีแล้วก็ก้มลงมาประกบใหม่  เป็นอย่างนี้ซ้ำๆ เกือบสิบห้านาที  


จินยองขอเรียกมันว่าจูบสูบวิญญาณ


แม้ตอนแรกจะยังไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงยอมเดินตามผู้ชายแปลกหน้าคนนี้มา  แต่ตอนนี้เขากลับมีอารมณ์ร่วมด้วยอย่างเต็มที่  จินยองไม่ใช่พวกฟรีเซ็กส์  อันนี้จริงแจ็คสันเคยกระแหนะกระแหนเขาบ่อยครั้งด้วยซ้ำว่าเป็นพวกเลือกมาก  ยิ่งกับผู้ชายเขายิ่งไม่เคยเลย   ดังนั้นเขาถึงได้สนเท่ตัวเองมากว่าอะไรดลให้เขามายืนจูบกับชายแปลกหน้าอยู่ตรงนี้


ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววิ  แล้วจินยองก็ดั่งตกอยู่ในมนตร์สะกด  เขารู้ตัวทุกอย่างนะว่ากำลังทำอะไร  หรือเกิดอะไรขึ้นบ้าง  เพียงแต่เขาบังคับตัวเองไม่ได้เลย   ราวกับว่าจิตใจของเขากำลังภักดีต่อเจ้านายคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง


“นายห้ามตัวเองไม่ได้หรอก  ไม่มีวัน” มาร์คพูดขึ้นขณะปลดอาภรณ์ของเขาออกไป  อากาศในฤดูหนาวเย็นจัดจนทำให้ขนอ่อนลุกซู่ทั้งร่างกาย  จินยองชะงักมือที่กำลังช่วยถอดกระดุมเสื้อของมาร์คทันที  ดวงตาฉ่ำหวานเงยสบกับลูกแก้วสีน้ำผึ้งด้วยความสงสัย


“รู้ได้ไงว่าฉันคิดอะไรอยู่”


“ไม่เคยมีใครบอกเหรอว่าคนอย่างนายน่ะอ่านง่ายยิ่งกว่าอะไรดี”  มาร์คยกยิ้มมุมปาก  จบประโยคนี้สกินนี่สีซีดของจินยองก็ลงไปกองที่พื้นพอดี   มาร์ควางมือที่สะโพกผายก่อนจะเคล้นคลึงไปมาอย่างหลงใหล


“ไม่จริง” เขาปฏิเสธ  เสื้อเชิ้ตสีดำสนิทไร้ลวดลายของมาร์คหลุดติดมือออกมาเหมือนกัน 


“รู้ไว้อย่างเดียวก็พอว่านายเป็นของฉัน  ไม่ว่าชาตินี้  หรือชาติไหน  นายหนีมันไม่พ้นหรอก  มันเป็นโชคชะตา”


ทั้งคู่จ้องตากันอย่างเงียบงัน  อยู่ๆ ในหัวใจของจินยองก็อุ่นวาบขึ้นมา  ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นนักสะกดจิตที่เก่งที่สุดเท่าที่จินยองเคยพาลพบ   เขาทำให้จินยองเชื่อหมดใจในเรื่องที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่เคยฟังมาในชีวิต


มือบางเอื้อมไปลูบไล้ใบหน้าที่มีไรหนวดจางๆ ด้วยความรู้สึกที่ต่างจากนาทีที่แล้วโดยสิ้นเชิง   เขาประทับรอยจูบลงบนคางของมาร์ค  มองข้ามว่าชายหนุ่มเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามา


“กอดฉันที” จินยองว่า  ดวงตาทอประกายยินยอม  “จนกว่าจะสิ้นแสงจันทร์”


มาร์คทวนคำเสียงแผ่ว  “จนกว่าจะสิ้นแสงจันทร์”



::::::::::  MOONLIGHT ::::::::::




จินยองเริ่ดหน้าขึ้นเมื่อริมฝีปากของมาร์คลากผ่านลำคอที่ยังกระดูกไหปลาร้า   มือเรียวจิกผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ไปหมดเมื่อมาร์คฝากรอยประทับเอาไว้   เขาครางแผ่วออกมาอย่างรู้สึกดี  หัวสมองขาวโพลนไม่รับรู้สิ่งอื่นใดนอกเสียจากสัมผัสจากคนตรงหน้า
 


สียอดอกของจินยองตัดกับผิวขาวประหนึ่งแสงจันทร์   เขาถดกายหนีความหวาบหวามระลอกใหม่ที่ตีรวนขึ้นมาในช่องท้องเมื่อได้สัมผัสอุณหภูมิของลิ้นที่สูงกว่าอุณหภูมิที่ผิวหนัง   ขนอ่อนของจินยองลุกซู่  ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอากาศหรือความซาบซ่านที่กำลังเล่นงานตัวเองอยู่   จินยองพยายามจะเบี่ยงตัวหลบ   ทว่าร่างของมาร์คที่ทาบทับอยู่เหนือตัวทำให้หนีไปไหนไม่ได้ไกลนัก  จินยองไม่เคยเป็นผู้โดนกระทำ  เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสัมผัสเพียงเล็กน้อยกับจุดไวสัมผัสจะสร้างความรู้สึกที่แปลกประหลาดได้มากขนาดนี้



 

“แล้วนายจะชอบ” เป็นอีกครั้งที่มาร์คเหมือนอ่านใจเขาได้   จินยองผ่อนมือที่เกร็งไว้แล้วรั้งมาร์คมาจุมพิต  ปล่อยให้มือข้างที่ว่างของอีกฝ่ายปรนเปรอความสุขให้ตัวเองแทน   มาร์คละจากกลีบปากที่บวมเจ่อของจินยองมายังดอกกุหลาบสีสวยอีกครั้ง   ริมฝีปากของมาร์คเหมือนหมู่ภมรที่เข้ามาค้นหาน้ำหวานจากดอกไม้งาม  ครอบครอง  ฟอนเฟ้น  และดูดดื่ม  ทิ้งไว้เพียงรสสัมผัสที่รัญจวนใจเกินต้านทาน
 


ในขณะที่เอวบางกำลังบิดเร้ากับสัมผัสแปลกใหม่   มือของมาร์คก็เลื่อนลงต่ำไปเรื่อยๆ  อุณหภูมิของเกมรักสูงขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อจินยองโดนปลุกเร้าพร้อมๆ กันทั้งด้านบนและด้านล่าง   มาร์คเอ่ยชมว่าเสียงของเขาไพเราะจับใจแม้จะฟังไม่เป็นภาษา 
 


“ดังอีกนิดได้ไหม  เดี๋ยวให้รางวัล”
 


จินยองไม่มีสติใดๆ ที่จะตอบรับคำอ้อนวอนดังกล่าว   อันที่จริงเขาไม่สามารถเรียบเรียงประโยคใดๆ ในหัวได้เลย   เพราะแม้แต่จะหายใจก็ยังทำไม่ทันจนต้องหายใจทางช่องปากอีกทาง     อุณหภูมิอุ่นร้อนของฝ่ามือตัดกับไอเย็นจากแหวนเงินที่มาร์คสวมติดนิ้ว    ให้ความรู้สึกเสียววูบวาบทุกครั้งที่โดนเข้ากับจุดไวสัมผัสของร่างกาย    ริมฝีปากของมาร์คเลื่อนลงมาสาละวนอยู่แถวต้นขาด้านใน   ฝากรอยแดงเอาไว้ต่างธงที่ปักแสดงเขตแดน   ก่อนจะเข้าครอบครองตัวตนของจินยองเอาไว้   มือบางจิกผ้าปูที่นอนจนแทบขาด  เสียงหวานครวญครางแทบขาดใจทุกครั้งที่มาร์คใช้ลิ้นเล่นสนุกกับร่างกายของตัวเอง  
 


เซ็กซ์กับปีศาจ    
ทรมานทว่าสุขสม


 

มาร์คเร้าอารมณ์ของจินยองให้พุ่งขึ้นสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนกระทั่งจินยองปลดปล่อยทุกอย่างออกมา   เขามองเห็นแสงจันทร์รำไรที่ลอดเข้ามาในห้อง   เพิ่งระลึกได้ว่าได้กลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งหลังจากมาร์คพาเขาขึ้นไปแตะขอบสวรรค์เมื่อครู่
 


“พร้อมนะ”
 


จินยองปรือตามองอีกฝ่าย   เขาเคยรู้แต่ทฤษฎีว่าผู้ชายมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันอย่างไร   ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งเขาจะได้มาอยู่ในห้องปฏิบัติด้วยตัวเอง 
 


“อ๊ะ”
 


ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น  แต่ไม่คุ้นเคย   นิ้วมือของมาร์คกำลังทำหน้าที่ที่ปกติมันไม่ได้ทำ  จากหนึ่งเป็นสอง  จากสองเป็นสาม  จนความอึดอัดในคราแรกเปลี่ยนเป็นความวาบหวาม   ร่างที่นอนหมดแรงอยู่บนเตียงเผลอกัดปากตัวเองจนเลือดซิบ    หัวใจของจินยองเต้นระรัวเยี่ยงเสียงกลองของเหล่านักรบ   มาร์คพยายามทำให้จินยองผ่อนคลายมากที่สุดด้วยการจุมพิตที่ต้นขาของเขาอีกครั้ง
สัมผัสของมาร์คร้อนแรงดั่งเปลวไฟ   แต่ก็นุ่มนวลดุจแสงจันทร์
 


มาร์คจับจินยองพลิกคว่ำเมื่อเห็นว่าร่างกายของเขาเริ่มปรับตัวได้แล้ว   ชายหนุ่มจูบเขาที่หลังคอ  สูดกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์  ขบเม้มที่ติ่งหู   แล้วไล่พรมจูบต่ำลงมาเรื่อยๆ ตลอดแนวกระดูกสันหลัง   จินยองรู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นพล่านไปทั่วทั้งร่าง
มาร์คทำให้จินยองต้องการชายหนุ่มจนแทบบ้า
 


“พี่ขอนะ”
 


“อือออ”  จินยองเผลอครางยาวเมื่อมาร์คเข้ามาลึกกว่าที่คิด  ร่างเพรียวอ้าปากหายใจหอบ  น้ำตาเม็ดใสซึมที่หางตา  เขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
 


“อย่าเกร็งนะคนดี”  มาร์คโน้มตัวมากระซิบแผ่วเบาที่ข้างแก้ม  แล้วฝังรอยจูบเอาไว้ที่ลาดไหล่บาง  พร้อมๆ กับนวดเฟ้นร่างกายของเขาไปทุกส่วนจนจินยองมั่นใจว่าไม่มีตรงไหนที่มาร์คยังไม่ได้สัมผัส   ชายหนุ่มเริ่มขยับตัวอีกครั้งจนเขาได้แต่ครางอื้ออึงรับสัมผัสที่ดำเนินไปอย่างเนิบนาบก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
 


ม่านเมฆเคลื่อนที่มาบังเงาจันทร์เอาไว้จนมืดสนิท  เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงตะวันก็จะกลับมาเยือนอีกครั้ง
 


เวลาของพวกเขาน้อยลงทุกวินาที
 


มาร์คถอนตัวออกมาแล้วจับจินยองขึ้นมาคร่อมบนตักตัวเอง  จินยองรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายทันที   เขาค่อยๆ ทิ้งสะโพกลงบนส่วนแข็งขืนของปีศาจรูปหล่อ  
 


ครั้งแล้ว  ครั้งเล่า 
 


เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมไปทั่วไรผม  อัตราการเต้นของหัวใจถี่สูงเกินไปเนื่องจากการออกแรงขยับร่างกายและความตื่นเต้นในการเปลี่ยนมาเป็นผู้คุมเกม  มาร์คทำให้จินยองแทบจะตัวระเบิดด้วยความรู้สึกที่เอ่อล้นจนเกินไปอีกครั้งจากการมอบสัมผัสให้พร้อมๆ กันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
 


มันสุขสม
มันหวาบหวาม
แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกวูบโหวงในหัวใจ
 


เหมือนกับว่าเมื่อใดก็ตามที่การเดินทางสิ้นสุด   เขากับมาร์คก็จะกลับไปเป็นคนแปลกหน้าอีกครั้ง
 


“เรียกชื่อฉัน  ได้โปรด” มาร์คร้องขอ   ริมฝีปากของชายหนุ่มก็หลุดเสียงครางออกมาไม่เป็นภาษาเหมือนกับเขา
 


“..ม..มาร์ค   มาร์ค”  จู่ๆ จินยองก็รู้สึกคุ้นเคยกับคนตรงหน้า  ภาพที่เขากับมาร์คกำลังร่วมรักกันฉายซ้อนขึ้นมาในสมองเหมือนจะอธิบายว่าทำไมมาร์คถึงได้รู้จักร่างกายของเขาเป็นอย่างดี
 


สติของเขากำลังจะหลุด
 


“อี้  อ๊ะ  อ..อ..  อาเอิน”  จินยองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลุดปากอะไรออกมา  แต่คำพูดของเขาทำให้มาร์คหยุดการกระทำของตัวเองไปชั่วขณะหนึ่ง   จนกระทั่งเสียงหวานประท้วงขึ้นมามาร์คจึงได้จับจินยองนอนราบกับเตียงอีกครั้ง   โดยคราวนี้เขาเป็นฝ่ายปรนเปรอร่างเพรียวด้วยตัวเอง
 


สัมผัสของมาร์คแรงขึ้นและลึกซึ้งขึ้น   ทั้งสองจูบกันอีกครั้งและอีกครั้ง   สองเสียงครวญครางผสานกันจนแยกไม่ออก   จนในที่สุดการเดินทางอันแสนยาวนานก็จบสิ้นลงจริงๆ เสียที


จินยองหายใจหอบอยู่ข้างๆ มาร์คที่เพิ่งทิ้งตัวลงนอนข้างกัน  กล้ามเนื้อของเขายังกระตุกอยู่หน่อยๆ  แต่ตัวกลับเบาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน   มือบางของมาร์คเอื้อมมากุมมือเขาไว้หลวมๆ  จินยองหันหน้าไปมองด้านขวามือของตัวเองก็พบชายหนุ่มที่นอนมองเขาอยู่ก่อน แล้ว   นัยน์ตาของมาร์คอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัด  และรอยยิ้มที่ส่งมาก็อบอุ่นจนเกินบรรยาย


จินยองรู้สึกว่าเขากำลังตกหลุมรักผู้ชายแปลกหน้าเข้าให้แล้ว


“นายจำอี้เอินได้มั้ย”  อยู่ๆ มาร์คก็ถามขึ้นมา


จินยองขมวดคิ้ว  “ใคร?”


มาร์คระบายยิ้มเศร้า  ไม่แปลกใจที่จินยองจะจำไม่ได้   ที่เผลอเรียกชื่อจริงของเขามาเมื่อกี้ก็คงเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น


จะจำได้ยังไงในเมื่อถูกสั่งให้ลืมไปหมดสิ้นแล้ว





“เราหนีไม่พ้นแล้วจินยอง  กลับไปซะ  เทพกับปีศาจยังไงก็รักกันไม่ได้  ฉันไม่อยากให้จินยองต้องมาตายเพราะฉัน”
“ไม่อาเอิน  ได้โปรดอย่าทำแบบนี้  อย่าผลักให้ฉันกลับไปใช้ชีวิตโดยไม่มีนาย”
“ฉันรักจินยองนะ  ได้โปรดจำไว้ว่า   ไม่ว่าจะชาตินี้  ชาติหน้า  หรือชาติไหน  ฉันก็จะตามรักนายไปทุกชาติ”





แล้วจินยองก็ตายต่อหน้าต่อตาเขา


ตายด้วยน้ำมือของคนที่ร่างเล็กเรียกว่า ‘พี่ชาย’   ส่วนเขาก็บาดเจ็บสาหัส   อันที่จริงอี้เอินรู้ดีว่าไม่มีวันที่เขากับจินยองจะหนีไปได้ไกลกว่านี้  เพราะต่อให้ไปสุดขอบฟ้า  ท่านมหาเทพก็สามารถตามหาพวกเขาได้อยู่ดี


ลูกชายคนเล็กของเทพแห่งดวงจันทร์กับลูกชายคนโตของปีศาจแห่งไฟ   เรื่องของพวกเขามันผิดตั้งแต่ชาติกำเนิดแล้ว


จิน ยองถูกลงโทษโดยการให้ไปเกิดเป็นมนุษย์ห้าร้อยปี   ส่วนอี้เอินได้รับการช่วยชีวิตจากเทวีแห่งจันทรา   แม่แท้ๆ ของคนรักของเขา   เธอรักจินยองมาก  และรู้ดีว่าลูกชายตัวเองก็รักปีศาจตนนี้มากเหมือนกัน   จากโทษตาย  อี้เอินจึงถูกลดโทษเหลือเพียงโดนกักบริเวณบนดวงจันทร์ห้าร้อยปีฐานที่แหกกฎ ภพภูมิผู้วิเศษ   ทุกวันอี้เอินได้แต่เฝ้ามองจินยองอยู่บนท้องฟ้า   เขาต้องทนเห็นจินยองเกิด-แก่-เจ็บ-ตายวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ทำอะไรไม่ ได้นอกเสียจากภาวนาให้มนุษย์ตัวน้อยผู้นั้นจงเข้มแข็ง  เพื่อรอเวลาให้พวกเขาได้พบกันอีกครั้ง



ความรักของมาร์คที่มีต่อจินยองนั้นกล้าแกร่งมากจนในที่สุดเทวีก็ยอมรับ   โดยอนุญาตให้เขาลงมาหาจินยองบนโลกมนุษย์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ในทุกหนึ่งร้อยปี   ก่อนจะต้องกลับไปยังดวงจันทร์เพื่อรับโทษต่อไป


คืนนี้เป็นปีที่สี่ร้อยสำหรับการลงโทษ


อี้ เอินอธิบายไม่ถูกเลยว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรตอนที่เห็นจินยองเดินมา   ร่างเล็กยังคงเหมือนเทพน้อยองค์เดิมทุกประการที่เขาเคยรู้จัก  น้ำตาของมาร์คไหลรินอย่างเป็นสุขเมื่อเห็นว่าคนรักได้มีชีวิตที่ดีบนโลก มนุษย์   เขาปาดน้ำตาออกแล้วร่ายเวทย์ให้จินยองเห็นแค่เพียงเขา


วินาทีที่สบตากัน   อี้เอินเข้าใจทันทีว่าความคิดถึงฆ่าเขาได้ทั้งเป็นจริงๆ


::::::::::  MOONLIGHT ::::::::::


จินยองสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาในตอนเช้า   อาการปวดหัวเล่นงานเขาทันทีจนต้องเอามือบีบขมับเอาไว้   ร่างเล็กกลอกสายตาไปทั่วห้องนอนของตัวเองก็พบว่าทุกอย่างยังปกติดี  ยกเว้นแต่อาการเจ็บที่สะโพกซึ่งยากจะอธิบายได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น   เขาพยายามนึกเหตุการณ์ย้อนหลังแต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก  จำได้แค่ว่ากำลังเดินกลับห้อง  แต่มารู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว


“แปลก แฮะ  เหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง” จินยองพึมพำแล้วฝืนลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำ  เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยสัมผัสที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้   รอยฟันเขี้ยวยังคงปรากฎให้เห็นจางๆ ที่ไหล่ขวา   ร่างเล็กตกใจจนแทบประคองตัวไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นสภาพร่างกายของตัวเองเต็มๆ ในกระจก


“นั่นอะไร” จินยองบ่นอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นโน้ตใบเล็กที่ถูกแปะไว้บนกระจก   ข้อความบนนั้นอ่านได้ว่า



‘จะกลับมา’



“เวรเอ้ย..”  เขาสบถแล้วกำกระดาษแผ่นเล็กทิ้งถังขยะทันที   ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน  อาจจะโดนหลอก  อาจจะเมา  อะไรก็ช่าง  จินยองจะถือว่าเป็นคราวซวยของตัวเองแล้วกัน   คิดได้ดังนั้นก็เดินไปอาบน้ำแล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตต่อราวกับไม่เคยเกิดอะไร ขึ้นเลย


นาฬิกาบนโลกมนุษย์ของปาร์คจินยองเดินถอยหลังอีกครั้ง



::::::::::  MOONLIGHT ::::::::::



“ฉันกำลังรีบไป  บอกบอสเลยโปรเจ็คนี้ลูกค้าชอบแน่  ฉันคิดทั้งคืนเลย  เจ๋งสุดๆ - ชิท! -  เดี๋ยวโทรกลับนะ”  จินยองเอาโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะหันมาทำตาขวางใส่คนที่เพิ่ง เดินชนเขาหมาดๆ   อเมริกาโน่ร้อนในมือหกรดเอกสารสำคัญของเอาไปมากกว่าครึ่ง   จินยองไม่มีเวลาแม้แต่จะมายืนด่า   ร่างเล็กรีบเก็บรวบรวมกระดาษในแฟ้มมาแล้วปัดๆ น้ำออก



หนึ่งร้อยปีต่อมา  ปาร์คจินยองกำลังรีบสุดชีวิตเพื่อไปทำงานให้ทัน  แต่กลับเจอเรื่องซวยเข้าจนได้


“ผ้าเช็ดหน้ามั้ยครับ” คนที่เป็นฝ่ายเดินชนกล่าวเสียงเรียบพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าของอาร์มานี่ที่ปักตัวอักษร M ที่มุมขวามาให้


จินยองกระชากมันมาจากมือของชายหนุ่มด้วยแรงโทสะ  แล้วจึงซับๆ กระดาษเหล่านั้นอย่างตั้งใจ  ปากบางก็พร่ำบ่นไม่หยุด  “ซวยแท้ๆ  ซวยจริงๆ  ทำไมซวยแบบนี้วะปาร์คจินยอง”


“ผมมี ประชุมด่วน  นี่นามบัตรผม”  ชายหนุ่มยัดนามบัตรใส่มือของจินยองก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง   การกระทำแบบนี้ยิ่งทำให้จินยองปรี๊ดแตก


“เฮ้ยไอ้หัวเทา  คิดจะชนแล้วหนีเหรอ!”


เจ้าของ ผ้าเช็ดหน้าหันมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง   ดวงตาคู่นั้นเย็นชาแต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่นอย่างประหลาด  โครงหน้าดูดี  ผิวพรรณเปล่งประกายเหมือนแสงจันทร์ยามค่ำคืน   จินยองเผลอจ้องอีกฝ่ายนานเกินไปจนลืมคำพูดในหัวไปเสียหมด


“โทรมาแล้วกันนะครับ”


“ด..เดี๋ยวสิ”  กว่าจะรู้ตัวอีกฝ่ายก็เดินจากไปแล้ว  ร่างเพรียวจิ๊ปากก่อนจะก้มลงอ่านนามบัตร  “มาร์คต้วน   ชื่อคุ้นๆ แฮะ”















“บอสจะกินหัวมึงอยู่แล้ว  หายไปไหนมา!” แจ็คสันรีบวิ่งเข้ามาช่วยเขาถือของเมื่อเห็นว่าสัมภาระในมือของร่างเล็กเยอะขนาดไหน

 
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย  เริ่มพรีเซ้นท์ยัง?” เขาถามเสียงหอบ  เพราะเพิ่งวิ่งมาเหมือนกัน


“ยัง  บอสถ่วงเวลาให้มึงอยู่  รีบๆ เลย” แจ็คสันว่าแล้วรุนหลังเพื่อนเข้าไปในห้องประชุม


จินยองหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตูเข้าไป   วันนี้เป็นการพิชงานโปรเจ็คสำคัญของบริษัท   จินยองในฐานะมือหนึ่งจึงได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนำเสนอผลงาน   เขาก้มหัวกล่าวแนะนำตัว  ก่อนจะแจกรอยยิ้มไปทั่วทั้งห้อง   จนกระทั่งมาสะดุดที่ชายหนุ่มหน้าจีนที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่ข้างเจ้านายเขา


ไม่ผิดแน่  คนเดียวกับเจ้าของผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าชัวร์


จินยองฝืนยิ้มแล้วทำหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติ  แม้จะรู้สึกประหลาดกับสายตามีนัยยะแฝงที่คุณมาร์คมองมาแต่ก็เลือกที่จะมอง ข้ามไป   เสียงปรบมือดังลั่นห้องทันทีที่เขาพรีเซ้นท์จบ   จินยองเป็นมืออาชีพมากพอที่จะทำงานได้ดีในทุกสถานการณ์


มาร์คเดินมาหาจินยองทันทีหลังจากเซ็นสัญญากับเจ้านายของเขาเรียบร้อยแล้ว  “ขอโทษด้วยสำหรับเรื่องมือเช้า  แต่เอกสารที่มีกลิ่นกาแฟก็ดีเหมือนกันนะ”


จินยองแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย  ปกติเขาจะเกรงใจลูกค้าทุกคน  แต่กับหมอนี่เขากลับแสดงร่างปาร์คจินยองเวอร์ชั่นปกติให้เห็น  “นี่ผ้าเช็ดหน้าคุณ  เอาคืนไป”


มาร์คยิ้มแล้วรับผ้าเช็ดหน้าคืนมา  ปลายนิ้วของเขาจงใจสัมผัสกับมือของจินยองจนร่างเล็กสะดุ้งรีบชักมือกลับ  มาร์คปรายตามองพนักงานคนอื่นในห้องที่กำลังแอบมองพวกเขาอย่างสนใจแล้วจึงหัน กลับมาที่จินยองอีกครั้ง  “ไปทานข้าวกันนะครับ  ผมอยากเลี้ยงขอโทษเรื่องเมื่อเช้า”


“ผมไม่ว่าง”  เขารีบบอกปัดโดยเร็ว


“งั้นเย็นนี้ล่ะ”


“ก็ไม่ว่างอีกนั่นแหละ”


“พรุ่งนี้?”


“ไม่ว่างเหมือนกัน”


“มะรืน?”


“ไม่ว่าง”


“แล้วเมื่อไหร่จะว่าง”


“ไม่ว่าง!  เมื่อไหร่ก็ไม่ว่าง  ไม่ต้องเสียเวลารอหรอกครับ!”


มาร์คนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนวาดรอยยิ้มที่ทำให้ใจคนมองกระตุก  “ไม่เป็นไรครับผมรอได้”


             เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้จินยองมากขึ้น  มือเรียวเกี่ยวปอยผมที่ร่วงลงมาปรกหน้าขึ้นไปทัดหู   นัยน์ตาของชายหนุ่มทอประกายเจิดจ้าเหมือนพระจันทร์ในคืนเดือนหงาย   ริมฝีปากอิ่มเลื่อนไปแนบชิดใบหูแล้วกระซิบถ้อยคำที่มีเพียงคนสองคนที่ เข้าใจ  “ผมรอจินยองมาร้อยปีแล้ว  รออีกนิดจะเป็นอะไรไป”



จินยองมองหน้ามาร์คอย่างไม่เข้าใจ  แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม   กล่าวเพียงว่าดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งแล้วเดินจากไป   จินยองยืนงงอยู่ชั่วครู่ก็รีบวิ่งตามไป   ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ากำลังทำอะไร  เขารู้สึกว่าร่างกายกำลังเสียการควบคุม


“คุณมาร์ค  คุณ!  เดี๋ยวก่อนครับ”  มาร์คหันมามองแล้วเลิกคิ้วแทนการตั้งคำถาม   จินยองหน้าแดงระเรื่อ  หัวใจเต้นเร็วจนกลัวว่ามันจะวายเอา  “เอ่อ  เย็นนี้จริงๆ ก็พอว่างนะ”


มาร์คยิ้มกว้างกว่าเดิมแล้วพยักหน้ารับรู้   เขาแบมือขอโทรศัพท์ของจินยองเพื่อเอาไปเมมเบอร์ของตัวเองให้


“ต้วนอี้เอิน? ทำไมล่ะ”


 “เพราะผมเป็นอี้เอินของคุณเสมอไงครับ  ไม่ว่าจะชาตินี้  ชาติหน้า  หรือชาติไหนๆ” มาร์คเกี่ยวปอยผมที่ตกลงมาขึ้นไปทัดหูให้จินยองอีกครั้ง   เขายิ้มให้จินยองทั้งตาและปาก  “ฉันกลับมาแล้วนะ  จะไม่ทิ้งนายไปไหนอีกแล้ว”


แสงตะวันยามบ่ายส่องลอดกระจกเข้ามาในห้อง  เงาของทั้งสองคนทอดเคียงกันเฉกเช่นเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว
เงาที่แสงจันทร์ไม่อาจพรากพวกเขาจากกันได้อีก...











FIN .
#ฟิคอลจ

No comments:

Post a Comment